นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) มองว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงต้นปีคงจะไม่ได้พุ่งขึ้นสูงถึงระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากพิจารณาจากปัจจัยรอบด้านในขณะนี้ และอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งในต่างประเทศจะไม่บานปลายลุกลามไปมากกว่านี้ หรือหากจะมีปัจจัยใดที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรงถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้ ก็คงเป็นแค่การไปแตะในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
"ต้องมีเงื่อนไขว่าเหตุการณ์ไม่พัฒนาการไปจนลุกลามใหญ่โต ถ้าอยู่ในระดับนี้ราคาก็จะอยู่ในระดับ 80-90 เหรียญ/บาร์เรล...จะสูงในไตรมาสแรกของปีนี้ เพราะนอกจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ยังมีในเรื่องของภาวะอากาศหนาวทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทั้งโลกสูงขึ้นด้วย แต่เมื่อเลยไตรมาสแรกไปแล้ว ถ้าเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรง ราคาก็จะอ่อนตัวลง" นายอรรถพล กล่าวให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์เช้านี้
ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันที่ต้องจับตา คือ ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ในประเทศผลิตน้ำมันหลายพื้นที่ เช่น การจลาจลประท้วงรัฐบาลในคาซัคสถาน การปิดล้อมแหล่งผลิตน้ำมันในลิเบีย การระเบิดท่อขนส่งน้ำมันจากอิรักไปตุรกี และเหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกจับตา คือ ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ล่าสุดทางชาติตะวันตกเข้ามาร่วมต่อต้านรัสเซียที่จะบุกโจมตียูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง
สำหรับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นสูงต่อกลุ่ม PTT นั้น นายอรรถพล กล่าวว่า PTT มีธุรกิจหลากหลาย ดังนั้นผลกระทบจึงมีทั้งด้านบวกและลบ อย่างกรณี ธุรกิจขุดเจาะสำรวจ ผลดำเนินงานก็จะปรับขึ้น-ลงตามราคาน้ำมันก็จะได้รับผลค่อนข้างดี แต่ธุรกิจอื่น ๆ เช่น ธุรกิจโรงกลั่น กำไรไม่ได้เกิดจากราคาน้ำมันดิบ แต่เป็นส่วนต่างราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูป
ส่วนธุรกิจค้าปลีกภายใต้ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ในช่วงราคาน้ำมันสูง การปรับราคาน้ำมันขายปลีกก็อาจจะไม่ได้ปรับขึ้นตามไปทันที ค่าการตลาดอาจจะราคาไม่สูงนัก แต่รายได้ของ OR ไม่ได้เกิดจากน้ำมันเท่านั้น แต่ธุรกิจนอนออยล์เข้ามาช่วยผลประกอบการได้มาก ดังนั้นแม้มาร์จิ้นน้ำมันต่ำ แต่ได้นอนออยล์เข้ามาช่วยได้ในระดับหนึ่ง