วิจัยกรุงศรี ระบุว่า มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอันเนื่องมาจากโควิด-19 เพื่อช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของ NPLs ในระยะข้างหน้า ที่ล่าสุด ธปท. ได้ออกมาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (JVAMC) โดยให้ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ สามารถร่วมลงทุนในกิจการร่วมทุน (Joint Venture) กำหนดระยะเวลายื่นขอจัดตั้งกิจการร่วมทุนได้ภายในปี 2567 มีระยะเวลา 15 ปีในการดำเนินกิจการร่วมทุนนี้ สำหรับกลไกดำเนินการกำหนดให้รับซื้อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในประเทศ ซึ่งจะต้องเน้นให้ความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องแก่ลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนมา
วิจัยกรุงศรี มองว่า แม้มาตรการดังกล่าวจะเป็นมาตรการชั่วคราว แต่ทางการเล็งเห็นความจำเป็นของการเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ระบบสถาบันการเงินให้มีการจัดตั้งกิจการร่วมทุน เพื่อรองรับ NPLs ที่อาจทยอยเพิ่มขึ้นในอนาคต แม้ข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาส 3/64 สัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ที่ระดับ 3.14% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.12% ในไตรมาส 4/63 เนื่องจากยังได้รับผลเชิงบวกจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ที่ลากยาวและยังมีความเปราะบางอยู่ มาตรการนี้จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยให้สถาบันการเงินบริหารจัดการ NPLs ได้อย่างเหมาะสม และยังช่วยให้ลูกหนี้มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติม (เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การไกล่เกลี่ยหนึ้) และไม่ถูกเร่งรัดขายสินทรัพย์ในราคาต่ำเกินจริง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาที่อาจบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินรวม 53,222 ล้านบาท จากการใช้เงินตามพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่ 1. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 วงเงิน 34,800 ล้านบาท 2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อแก่กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ วงเงิน 8,070 และ 1,352 ล้านบาท ตามลำดับ และ 3. โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 4 วงเงิน 9,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุด จะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ประกอบกับความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน สนับสนุนให้ทางการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมเพิ่มเติม การนำมาตรการ Test&Go กลับมาใช้สำหรับเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแรงหนุนจากการขยายตัวของภาคส่งออก ผลกระทบสุทธิจากการระบาดรอบนี้ จะทำให้อัตราการขยายตัวของ GDP ยังคงใกล้เคียงกับคาดการณ์เดิม (ปี 65 คาดโต 3.7%)
"เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัว แม้พัฒนาการดังกล่าวอาจล่าช้าออกไป เมื่อต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสโอมิครอน แต่ผลกระทบอาจอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำ จึงคาดว่าการใช้มาตรการควบคุมจะเข้มงวดน้อยกว่าการระบาดที่เกิดจากไวรัสเดลตาในรอบก่อน โดยในกรณีฐาน คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน จะแตะจุดสูงสุดในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะลดลงอย่างช้าๆ ภาคท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากสุดจากการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ และผลต่อภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงราว 0.6%" วิจัยกรุงศรี ระบุ