นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มองว่า สถานการณ์ในปี 65 เป็นแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งต้องจับตาว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้หลายครั้งในปีนี้นั้น จะสร้างแรงกดดันส่งผ่านมายังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มากน้อยเพียงใด เพราะหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดกันๆ หลายครั้ง คงเลี่ยงยากที่ กนง.จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย
ดังนั้น สิ่งที่ ธอส.มีความเป็นห่วงมากที่สุด คือ ผลกระทบที่จะมีต่อเงินค่างวดในการชำระสินเชื่อ ที่อาจจะได้เห็นการปรับขึ้นเงินค่างวดในการชำระสินเชื่อเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าว ธอส.จะพยายามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้ช้าที่สุด
"ตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่ภาวะดอกเบี้ยทั่วโลกเป็นขาขึ้นพร้อมกัน ลูกค้าที่ชำระค่างวดอิงจากดอกเบี้ยคงที่ คงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ที่ห่วงคือ ที่อิงจาก M จะกระทบแน่ เพราะเงินงวดต้องนำไปตัดดอกเบี้ยก่อน แล้วค่อยมาตัดเงินต้น คำถามคือ ถ้าช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น แล้วตัดดอกเบี้ยไม่พอเหลือตัดเงินต้น ก็คงต้องปรับเงินงวดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งการจะปรับขึ้นมาจากปัจจัยเดียว คือ การขึ้นดอกเบี้ยติดๆ กันในช่วงสั้นๆ ต้องตามดูว่า กนง.จะรับ effect โดยตรงจากเฟดหรือไม่" นายฉัตรชัยระบุ
กรรมการผู้จัดการ ธอส. ยังกล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปี 64 ที่ผ่านมาว่า มียอดสินเชื่อใหม่ 2.47 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.65% สูงกว่าเป้าหมาย 31,234 ล้านบาท คิดเป็นยอดสินเชื่อสูงสุดในรอบ 68 ปี สินเชื่อคงค้าง 1,458,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.40% สินทรัพย์รวม 1,506,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.04% เงินฝากรวม 1,274,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.74% และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 58,381 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของยอดสินเชื่อรวม