นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ราคาผลิตภัณฑ์เหล็กโลกช่วงปลายปี 64 ถึงต้นปี 65 ได้ลดความร้อนแรงลง เนื่องจากโรงงานเหล็กส่วนใหญ่ทั่วโลกกลับมาผลิตเหล็กในปริมาณเกือบเป็นปกติแล้ว โดยล่าสุดข้อมูลต้นเดือน ม.ค. 65 ราคาผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาว และเหล็กทรงแบนในประเทศจีนปรับตัวลดลงเหลือ 756 - 762 เหรียญ/ตัน ลดลง 18-24% จากช่วงที่ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดเมื่อกลางปี 64
อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ยากที่ราคาเหล็กจะลงไปต่อเนื่องจนเทียบเท่าระดับราคาในปี 63 โดยเชื่อว่าราคาเหล็กในจีนและภูมิภาคเอเชีย จะขยับลงอีกไม่มาก หรือทรงตัว แล้วจะปรับขึ้นภายในไตรมาส 1/65 นี้ เนื่องจากประเทศจีนปรับนโยบายเรื่องยกเลิกการให้ภาษีส่งออก (Rebate VAT) สินค้าเหล็ก รวมถึงมีการดำเนินการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ส่งผลให้มีต้นทุนในกระบวนการผลิตเพิ่ม รวมถึงสถานการณ์ของต้นทุนพลังงาน และวัตถุดิบต่างๆ เช่น ถ่านหิน ก็มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นเช่นกัน
จากการที่ประเทศไทยเผชิญภาวะโควิดมา 2 ปีแล้ว ได้ส่งผลให้ทั้งภาคสังคมและภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ และต้องปรับตัวกันตามวิถีใหม่ (New Normal) เช่น การขาดแคลนแรงงาน การบริหารจัดการก่อสร้างที่ต้องลดความแออัดของการใช้แรงงาน และระยะเวลาในการก่อสร้าง ตลอดจนการตอบสนองนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy ดังนั้น เหล็กจึงเป็นวัสดุก่อสร้างและทางเลือกที่เหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทย
โดยในปี 65 นี้ ความต้องการใช้เหล็กของประเทศน่าจะยังเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5% จากปี 2564 เนื่องจากการก่อสร้างในโครงสร้างพื้นฐาน (Infra Structure) ของภาครัฐที่ยังดำเนินการต่อเนื่อง การเริ่มฟื้นตัวของภาคส่งออก ภาคบริการ โดยเหล็กเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ การก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ พลังงาน บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น จึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
ดังนั้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ และการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า รวมถึงการควบคุม Supply การผลิตเหล็กในประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการของประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเร่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้เร็วขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดูผลกระทบจากกรณีที่กรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 ม.ค.65 ว่าจะส่งกระทบต่อปริมาณการนำเข้าสินค้าเหล็กสู่ประเทศไทยหรือไม่ เนื่องจากประเทศนอกอาเซียน 5 ประเทศ เป็นประเทศที่มีความสามารถในการผลิตและส่งออกเหล็กเป็นอย่างมาก แต่ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีผลไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าเหล็กส่วนใหญ่ได้มีการเสนอให้ไม่เปิดเสรีเพิ่มเติมจากกรอบความตกลงเดิมที่มีอยู่ รวมถึงอาจจะช่วยส่งเสริมให้มีโอกาสส่งออกมากขึ้นด้วย จากการที่มีแหล่งวัตถุดิบให้สามารถเลือกใช้ได้เพิ่มมากขึ้น