ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธานวันนี้ อนุมัติให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มการชดเชยราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลอีก 70 สตางค์/ลิตร จากเดิมชดเชยอยู่ 3.09 บาท/ลิตร ทำให้การชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 3.79 บาท/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.65 เป็นต้นไป
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า รายงานว่า ที่ประชุมฯ เห็นว่าการชดเชยราคาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันกลับมาได้รับค่าการตลาดดีเซลอีกครั้ง หลังจากพบว่าวันนี้าการตลาดกลุ่มน้ำมันดีเซลของผู้ค้าติดลบ 0.1194 บาท/ลิตร นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีที่ไม่มีกำไรจากการจำหน่ายดีเซลเลย แต่จำเป็นต้องจำหน่ายราคาไม่เกิน 30 บาท/ลิตรตามนโยบายรัฐบาล ดังนั้น การชดเชยราคาดังกล่าวจะทำให้ผู้ค้าได้รับกำไรตามปกติ โดยไม่ต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายดีเซล
นอกจากนี้ ผู้ค้าน้ำมันจะได้ประโยชน์จากมาตรการของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)เมื่อวันที่ 31 ม.ค.65 ที่กำหนดให้ลดการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (B100) ในน้ำมันดีเซลเหลือแค่ 5% และจำหน่ายเป็นดีเซล B5 จากเดิมกำหนดให้จำหน่ายเป็นมาตรฐาน B7 ซึ่งมาตรการนี้จะส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันลดต้นทุนลงได้อีก 50-60 สตางค์/ลิตรระหว่างวันที่ 5 ก.พ.-31 มี.ค.65
โดยรวมผู้ค้าน้ำมันจะได้เงินจากการชดเชยราคาดีเซล 70 สตางค์/ลิตร และมาตรการ B5 อีก 50-60 สตางค์/ลิตร ดังนั้นกระทรวงพลังงานเห็นว่า ผู้ค้าน้ำมันควรพิจารณาลดค่าการตลาดกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลง เนื่องจากขณะนี้ผู้ค้าได้ปรับขึ้นค่าการตลาดน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ประมาณ 30-40 สตางค์/ลิตรเพื่อชดเชยค่าการตลาดดีเซลที่ติดลบ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานไม่สามารถบังคับอัตราค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันได้ เนื่องจากเป็นกลไกการค้าเสรี
สำหรับมาตรการดูแลราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นมาตรการที่กระทรวงพลังงานกำหนดไว้ว่าจะดูแลจนถึงสิ้นเดือน มี.ค.65 พร้อมกับมาตรการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ไว้ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม จนถึงสิ้นเดือนมี.ค.65 เช่นกัน ทั้งสองมาตรการส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ประสบภาวะเงินไหลออก 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินไหลออกจากมาตรการตรึงราคา LPG 1,900 ล้านบาทต่อเดือน และเงินไหลออกจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ สถานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 ม.ค.65 กองทุนฯ มีสภาพติดลบ 14,080 ล้านบาท โดยชดเชยราคา LPG ไปแล้วรวม 24,669 ล้านบาท จากกรอบวงเงินที่ กบน.อนุมัติไว้ให้ใช้ได้ไม่เกิน 29,000 ล้านบาท