นักวิชาการ หนุนเก็บภาษีคริปโทฯสกัดธุรกิจสีเทา คาด มี.ค.เกิดภาวะฟองสบู่แตก

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday February 6, 2022 15:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ออกมาสนับสนุนการเก็บภาษีและกำกับควบคุมคริปโทเคอเรนซี่เข้มงวดขึ้นของทางการ โดยเก็บเฉพาะส่วนกำไรจากทุน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาธุรกิจผิดกฎหมายหรือธุรกิจสีเทาใช้คริปโทฯ เป็นกลไกในระบบการชำระเงินและฟอกเงิน เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ถูกปฏิเสธการทำธุรกรรมผ่านระบบการเงินในระบบที่ถูกกำกับโดยทางการของประเทศต่างๆ ธนาคารกลางในบางประเทศจึงควบคุมไม่ให้มีธุรกรรมดังกล่าวและเร่งออกเงินสกุลดิจิทัลของตัวเอง ขณะที่ธุรกรรมคริปโทฯ เป็นทางเลือกของประชาชนและกิจการต่างๆ ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินในระบบหรือเผชิญต้นทุนสูง โดยเฉพาะการชำระเงินระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังถือเป็นการให้การบริการทางการเงินหรือระบบการชำระเงินแบบกระจายศูนย์ สร้างระบบนิเวศทางการเงินสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม การใช้คริปโทฯ ก่อให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทาย รวมทั้งความเสี่ยงต่อระบบการเงินระบบเศรษฐกิจในขณะเดียวกัน แต่เทคโนโลยีทางการเงินนี้ยังดำรงอยู่ต่อไปและพัฒนาต่อไปอีกในอนาคต โดยคริปโทฯ นี้ไม่พ้นภาวะฟองสบู่และการแตกตัวของฟองสบู่ระลอกสอง ระลอกแรกได้ผ่านมาแล้วจากการที่คริปโตเคอเรนซี่หลายสกุลราคาได้ปรับตัวลงมามากกว่า 40% หรือบางสกุลก็แทบจะไม่มีมูลค่าหรือมีการฉ้อโกงกัน โดยคาดว่าสัญญาณฟองสบู่คริปโทฯ จะแตกชัดเจนหลังเดือน มี.ค.65 เมื่อสภาพคล่องในระบบการเงินโลกลดลงจากการลด QE และขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้ว จะทำให้ราคาคริปโตสกุลต่างๆสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมากขึ้น

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ขอเตือนนักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงทางการเงิน โปรดระมัดระวังการลงทุนเป็นพิเศษหลังสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกทยอยลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสสองเป็นต้นไปและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนกรณีองค์กรผู้ใช้แรงงานเสนอให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 492 บาทอัตราเดียวทั่วประเทศนั้น ตนเห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ โดยการปรับเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้นควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกมิติเพื่อให้เกิดผลดีต่อสวัสดิภาพต่อแรงงานอย่างแท้จริง และเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ ไม่เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ หรือเกิดปัญหาการเพิ่มขึ้นของการว่างงาน รวมทั้งเพิ่มต้นทุนของการผลิตมากเกินไป แต่การตัดสินใจต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและใช้กลไกไตรภาคี การใช้ค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวทั่วประเทศจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่าแบบกำหนดตามพื้นที่โดยเฉพาะในมิติความเป็นธรรมและประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบันค่าจ้างของแรงงานภาคอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 4 ระบบใหญ่

1.ระบบค่าจ้างขั้นต่ำของลูกจ้างในสถานประกอบการกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัด ซึ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีและการประกาศบังคับใช้กฎหมายโดยกระทรวงแรงงาน เดิมระบบค่าจ้างขั้นต่ำถูกกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้างเป็นอัตราเดียวทั่วประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ.2544 จึงได้มีการปรับเปลี่ยนระบบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่โดยมีอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำประจำจังหวัด ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีในจังหวัดของตัวเอง

2.ระบบค่าจ้างเงินเดือนในสถานประกอบการตามฝีมือแรงงาน คือ ค่าจ้างที่นายจ้างเป็นผู้กำหนดจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนตามผลงานในรอบระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาในสถานประกอบการหลายแห่งเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้มีกำหนดโครงสร้างค่าจ้างที่ชัดเจน ปัญหาอีกประการหนึ่งในปัจจุบัน คือ การไม่มีความแตกต่างระหว่างค่าจ้างขั้นต่ำกับอัตราค่าจ้างประจำปีในสถานประกอบการซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่ต้องการให้เป็นเพียงค่าจ้างของแรงงานไร้ฝีมือในระยะแรกของการทำงานไม่ใช่ค่าจ้างของลูกจ้างที่ทำงานมาหลายปีจนมีทักษะฝีมือแล้ว ค่าจ้างในระบบนี้มักเป็นไปตามค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน

3.ระบบค่าจ้างรายชิ้นเป็นระบบที่จ่ายให้ตามจำนวนชิ้นงานโดยไม่คำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการผลิต ใช้กับแรงงานนอกระบบในกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านซึ่งค่าจ้างถูกกำหนดโดยผู้ว่าจ้าง จากการศึกษาของนายวรวิทย์ เจริญเลิศ และ นางนภาพร อติวานิชพงศ์ พบว่า ค่าจ้างเฉลี่ยที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้รับเมื่อคำนวณตามชั่วโมงการทำงานแล้วต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายแรงงาน และโดยส่วนใหญ่ลูกจ้างไม่มีอำนาจต่อรองในเรื่องค่าจ้างรายชิ้น ยกเว้นในกรณีมีอุปสงค์หรือความต้องการสินค้าสูงมีความจำเป็นต้องการแรงงานเพื่อเร่งผลิต อำนาจต่อรองของลูกจ้างรายชิ้นจึงสูงขึ้น

4.ระบบค่าจ้างของแรงงานนอกระบบมักยึดการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) เป็นพื้นฐาน โดยไม่ใช่ค่าจ้างที่เพียงพอแก่การดำรงชีวิต (Living Wage) แรงงานนอกระบบมักมีสภาพการจ้างที่ไม่เป็นทางการ ขาดความมั่นคงในงานและไม่มีสวัสดิการแรงงาน รวมทั้งมักถูกเลือกปฏิบัติจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานและระบบประกันสังคม

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำหมายถึง อัตราค่าจ้างที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นแรงงานไร้ฝีมือเมื่อแรกเข้าทำงาน เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว (ตัวลูกจ้าง + ภรรยา 1+ บุตร 2 คน) ให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข นั่นคือ เกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ เกณฑ์การพิจารณา การปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในแต่ละปีนั้น แต่ละประเทศก็จะมีแนวทางและหลักเกณฑ์ของตนเองแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะพิจารณาจากการปรับเพิ่มขึ้นของภาวะค่าครองชีพ (Cost of Living) ของปีนั้นๆ เป็นหลัก หากภาวะค่าครองชีพปรับเพิ่มขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์ ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำก็จะต้องปรับเพิ่มตามไปเท่านั้น เรียกว่า ปรับเพิ่มตามภาวะค่าครองชีพ (Cost of Living Adjustment) เพื่อให้ลูกจ้างมีรายได้เพียงพอกับภาวะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า ลูกจ้างนั้นจะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมแต่อย่างใด หากแต่ปรับเพิ่มให้รายได้มีความสมดุลกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพื่อมิให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนจากการมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จึงประสงค์ของค่าแรงงานขั้นต่ำ ก็เพื่อให้ความคุ้มครองทางสังคม และกระจายผลประโยชน์ของการพัฒนาและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มีคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีประกอบด้วยตัวแทนนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐเป็นผู้พิจารณากำหนด และควรมีกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำพื้นฐานเป็นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ สำหรับจังหวัดที่ไม่ได้กำหนดอัตราของตนเอง หรือ หากไม่ใช้วิธีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวทั่วประเทศ

เรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่ต้องปรับตัวขึ้นสูงแน่เป็นเพียงแนวโน้มสำคัญหนึ่งของตลาดแรงงานไทยเท่านั้น ยังมีแนวโน้มอื่นๆ อีกที่ธุรกิจอุตสาหกรรมต้องปรับตัว และรัฐต้องมีนโยบายและมาตรการอันเหมาะสมในการตอบสนอง ไม่เช่นนั้นแล้วจะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจในมิติใดมิติหนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ แนวโน้มที่สำคัญและยังเป็นแนวโน้มที่ช่วยอธิบายเราว่า ค่าจ้างในไทยแพงหรือไม่ คือ ผลิตภาพแรงงานไทยในอนาคตว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันผลิตภาพแรงงานไทย (Labor Productivity) เติบโตในระดับปานกลาง ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนของแรงงานก็ลดลงทุกระดับการศึกษา สะท้อนปัญหาด้านคุณภาพของการศึกษาไทย ผลิตภาพแรงงานโดยเฉลี่ยต่อคนปรับด้วยอำนาจการซื้อเปรียบเทียบ (Purchasing Power Parity)

หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว พบว่าผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อคนของไทยปรับด้วยอำนาจการซื้อเปรียบเทียบ (PPP) อยู่ในระดับปานกลาง ผลิตภาพการผลิตเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวและเป็นตัวกำหนดระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีผลอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลิตภาพแรงงานเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพในการทำงานของปัจจัยการผลิตด้านแรงงานเพื่อใช้เปรียบเทียบผลงานทางด้านเศรษฐกิจ โดยทำการวัดจากอัตราส่วนของผลผลิตกับจำนวนแรงงานในระบบเศรษฐกิจ ผลิตภาพแรงงานในระยะหลังไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นนักเพราะมีปัญหา การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตได้ ขณะเดียวกันระบบการศึกษาก็มีปัญหาทางด้านคุณภาพในการผลิตทรัพยากรมนุษย์ป้อนเข้าสู่ระบบการผลิตนอกจากนี้แรงงาน (ประชากรในวัยทำงาน) ยังมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ