ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ปี 2564 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจากปีก่อน ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากปีก่อน แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19
สำหรับภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 64 ขยายตัวที่ 6.5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 5.1% โดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัว 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขยายตัวในเกือบทุกประเภทธุรกิจ สะท้อนความต้องการเงินทุนของภาคธุรกิจตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสินเชื่อที่ให้แก่ภาครัฐที่ยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนสินเชื่อธุรกิจ SMEs2 ขยายตัวต่อเนื่อง จากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเป็นสำคัญ
ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค ขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 4.0% โดยสินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัวสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว สินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัวได้ต่อเนื่องตามความต้องการสภาพคล่องของภาคครัวเรือน สินเชื่อรถยนต์ ทรงตัวสอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขยายตัวในอัตราชะลอลงตามอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยที่ปรับลดลงจากปีก่อน
น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธปท. มองว่า ความต้องการสินเชื่อในระบบ สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ก็หวังว่าลูกหนี้จะดีขึ้นด้วย มีการขยายกิจการ และน่าจะช่วยให้มีความต้องการสินเชื่อเพิ่มเติม
ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็มีปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 การใช้มาตรการควบคุมโรคที่น้อยลง และสถาบันการเงินมีการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีกับระบบธนาคารพาณิชย์
ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ปี 64 ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจากปีก่อน เป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เป็นสำคัญ โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non Performing Loan: NPL หรือ stage 3) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 530.7 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.98% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 6.39% ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่ 6.62%
ด้านกำไรสุทธิในปี 2564 จำนวน 181.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23.6% โดยหลักจากค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลงจากการกันสำรองในระดับสูงในปีก่อน ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.81% จากปีก่อนที่ 0.69% ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อย ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ และการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ย ทำให้อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) ลดลงมาอยู่ที่ 2.46% จากปีก่อนที่ 2.63%
น.ส.สุวรรณี ยอมรับว่าจากวิกฤติที่หนักและยาวนาน มีความไม่แน่นอนสูง การฟื้นตัวไม่เท่าเทียม ก็อาจส่งผลให้มีลูกหนี้บางกลุ่มทยอยเป็นหนี้เสียมากขึ้น เช่น ลูกหนี้ธุรกิจกลุ่มที่ปิดกิจการ เลิกกิจการ หรือติดต่อไม่ได้ เป็นต้น แต่เชื่อว่าจากการบริหารจัดการ และความพยายามของ ธปท. ในการผลักดันให้สถาบันการเงินยังคงช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังไปต่อได้ โดยช่วงต้นอาจมีการปรับโครงสร้างหนี้ ลดการผ่อนชำระลงให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดต่ำลง ซึ่งมาตรการแก้หนี้ระยะยาว (3 ก.ย.) มีผลถึงสิ้นปี 66 ระหว่างนี้สถาบันการเงินและลูกหนี้สามารถเร่งเจรจาเพื่อหาทางออกได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าช่วยลูกหนี้ได้ ไม่เช่นนั้นหนี้เสียอาจจะปรับเพิ่มขึ้นมากกว่านี้