นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทย ยังคงติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อ แม้ว่าค่าเงินรูเบิลจะอ่อนค่าลงเป็นอย่างมาก แต่เศรษฐกิจของรัสเซียก็ยังมีความเข้มแข็งมากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัสเซียจะยังไม่ได้ใช้กำลังทางทหารอย่างเต็มที่ สะท้อนให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเจรจา แต่คงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจของไทยย่อลงจากที่คาดการณ์ไว้ แต่เชื่อว่ารัฐบาลยังสามารถตรึงราคาน้ำมันได้จนถึงเดือนมิถุนายน ทั้งนี้ อาจจะต้องเตรียมแผนรับมือล่วงหน้า เพราะสถานการณ์มีโอกาสยืดเยื้อสูง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงต่อไปทั้งปี
"มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าภายใน 6 เดือนนี้ จะเป็นการบรรเทาผลกระทบได้ส่วนหนึ่ง โดยประชาชนจะมีภาระค่าไฟฟ้าที่ลดลงประมาณ 1-1.5 บาทต่อหน่วย แต่ก็ควรต้องเตรียมแผนในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ทำให้ประเมินได้ยากว่าประเทศไทยจะสามารถตรึงสถานการณ์ราคาเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด" นายสนั่น กล่าว
พร้อมระบุว่า หอการค้าไทย กำลังติดตามต้นทุนราคาสินค้าที่จะสูงขึ้นหลังจากนี้ เช่น สินค้าประเภทธัญพืชต่าง ๆ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาจประสบภาวะขาดแคลน สิ่งเหล่านี้จะกระทบกับต้นทุนสินค้าอาหาร นอกจากนั้น วัตถุดิบจำพวกสินแร่ต่าง ๆ (Rare Earth) อาจจะกระทบกับการผลิตแผงวงจรไฟฟ้า และการผลิตชิพ และอาจทำให้ต้นทุนการนำเข้าของบางสินค้ากระทบด้วย จึงขอให้ภาครัฐและภาคเอกชนเตรียมตัวรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วย
ส่วนสินค้าอีกกลุ่มที่หอการค้าไทยกังวลอยู่ในขณะนี้ คือราคาปุ๋ยเคมีที่จะแพงขึ้น เนื่องจากไทยนำเข้าปุ๋ยประมาณ 5 ล้านตันต่อปี หากราคาปุ๋ยมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรก็จะใส่น้อยลง ผลผลิตก็จะน้อยลงตามไปด้วย อันหมายถึงรายได้ของเกษตรกรที่จะหายไป ซึ่งปัญหานี้คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน ดังนั้น รัฐบาลควรเตรียมแนวทางหรือมีนโยบายในการแก้ไขปัญหานี้ เช่น การหาแหล่งนำเข้าแห่งใหม่จากประเทศอื่น หรือแนวทางการนำปุ๋ยอินทรีย์มาใช้ทดแทน ทั้งนี้ อาจจะต้องมีการปรับสูตรปุ๋ยใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงนี้ โดยหอการค้าไทยจะเร่งหารือกับภาครัฐต่อไป เพื่อเป็นทางออกให้ผู้ประกอบการ
ส่วนผลกระทบจากการนำเข้าส่งออกระหว่างไทย-รัสเซีย และไทย-ยูเครนนั้น แม้ว่ามีผลกระทบโดยตรงไม่มากนัก แต่ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะผลกระทบทางอ้อมมีมาก และกระทบไปทั่วโลก ดังนั้นราคาสินค้าหลายอย่างจึงสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นแล้ว ซึ่งที่น่าเป็นกังวลอีกส่วนหนึ่งก็คือ ราคาค่าขนส่ง โดยเฉพาะค่าระวางเรือระหว่างประเทศ ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการส่งออกที่เป็นเครื่องจักรหลักในการฟื้นเศรษฐกิจไทย จึงควรให้มีแนวทางรักษาระดับค่าเงินบาทให้อ่อนค่าต่อไป
นายสนั่น กล่าวว่า หอการค้าไทยยังมีความเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจของไทยจะมีโอกาสเกิด stagflation หรือภาวะที่มีเงินเฟ้อสูง ในขณะที่เศรษฐกิจยังเติบโตต่ำ ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากเกินกว่ารายได้ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
นอกจากนั้น หอการค้าไทย เห็นว่าการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีของไทย ดังนั้น ประเทศไทยควรวางตัวเป็นกลางในเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศได้ตามปกติ สำหรับนักท่องเที่ยวรัสเซีย-ยูเครนที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยควรจะมีมาตรการดูแลช่วยเหลือให้เหมาะสมด้วย ซึ่งคาดว่าขณะนี้ภาครัฐกำลังหาแนวทางช่วยเหลือ