อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าวันนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ออกมาระบุว่าเตรียมจะเสนอ ศบค.ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศในรูปแบบ Test&Go เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง แต่ให้ตรวจ RT-PCR เพียงครั้งเดียวเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และตรวจ ATK ซ้ำอีกครั้งในวันที่ 5 หลังเข้าประเทศ
พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค.ยังระบุว่า จะเสนอให้ ศบค.ชุดใหญ่พิจารณามาตรการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ทำข้อมูลไว้แล้วเพื่อให้สามารถจัดงานเทศกาลสงกรานต์ได้ภายใต้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งการรดน้ำ สรงน้ำพระ ร่วมกิจกรรมประเพณีที่วัด โดยใช้กลไกลของฝ่ายปกครองท้องถิ่นดูแลควบคุม
รวมทั้งการพิจารณาปรับสีพื้นที่ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ภาพรวมจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงอยู่ แต่เมื่อประเมินแล้วบางพื้นที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง อีกทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อและรักษาหายป่วยมีจำนวนใกล้เคียงกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมีการปรับมาตรการในบางพื้นที่
และ ศบค.จะพิจารณาแผนงานและกรอบการดำเนินการเพื่อนำไปสู่การปรับให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อทั่วไป เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขนำไปดำเนินการต่อไป
พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า การผ่อนคลายมาตรการของรัฐจะไม่ได้สวนทางกับตัวเลขติดเชื้อที่ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุข ได้คาดการณ์ฉากทัศน์ไว้แล้ว และ ศบค.มีความจำเป็นที่ต้องผ่อนคลายเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ ดังนั้นจึงต้องทำภายใต้มาตรการต่างๆ ลดความรุนแรงของโรค และสิ่งสำคัญคือ การเร่งฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุให้ครอบคลุมได้มากที่สุด และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต้องดำเนินการต่อไปตามระยะเวลา 3-6 เดือน ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กระจายวัคซีนไปทั่วประเทศแล้ว
ส่วนเรื่องผ่อนคลายให้เปิด ผับ บาร์ คาราโอเกะนั้น พล.อ.สุพจน์ ยืนยันว่า ศบค.พยายามจะช่วยผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ เพราะต้องยอมรับว่ากิจกรรมประเภทนี้มีปัจจัยความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสถานที่ปิด มีโอกาสแพร่เชื้อสูง อย่างไรก็ตาม จะมีการเสนอให้ศบค.ชุดใหญ่พิจารณาแนวทางต่าง ๆ แต่คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโอไมครอนไม่ได้มีอาการรุนแรง แต่กระจายได้เร็ว และต้องคำนึงกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบาง ที่ยังมีอัตราเสียชีวิตสูง ดังนั้นการควบคุมพื้นที่สำคัญ หรือบางกิจกรรมก็ต้องคำนึงถึง และกิจการที่เสี่ยงมากๆ หากตัดสินใจให้เปิดก็จะถือเป็นการลงทุนสูง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล จึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน
พร้อมยืนยันว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อดำเนินมาตรการป้องกันโรคยังเป็นเครื่องมือสำคัญในช่วงเวลานี้ ส่วนตัวพร้อมเสนอพิจารณายกเลิกทันทีหากไม่มีความจำเป็น และเมื่อประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ก็จะกลับไปใช้กฎหมายปกติ
พล.อ.สุพจน์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าจะพิจารณาให้เปิดหน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะได้ว่า การใส่หน้ากากอนามัยยังเป็นสิ่งจำเป็นในขณะนี้ จนกว่าจะเห็นว่าสถานการณ์ปลอดภัยเพียงพอหลังจากปรับให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น และเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลแบบโรคติดต่อทั่วไป ซึ่งจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมพรุ่งนี้ แต่จะเป็นแผนที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินไว้ เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณากำหนดกรอบแนวทางไว้เบื้องต้นเท่านั้น
"ส่วนการเปิดหน้ากากอนามัย ผมยังยืนยันว่า ยังมีความจำเป็นในสถานการณ์ตั้งแต่บัดนี้จนถึงสถานการณ์ที่เราพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมที่จะเป็นเปิดหน้ากากได้อย่างปลอดภัย"พล.อ.สุพจน์ กล่าว
ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ ดังนั้นข่าวที่ออกมาเป็นแผนการในอนาคต โดยต้องมีการประเมิน 3 เดือน 6 เดือนอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการจัดคอนเสิร์ตในห้องแอร์ ขึ้นอยู่กับมาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัด ที่มีมาตรการไว้แล้วก่อนหน้านี้ ยกเว้น มีการปรับสถานการณ์ในบางพื้นที่อาจจะมีการผ่อนคลายขึ้น ขึ้นอยู่กับที่ประชุมพิจารณา