นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแปลงใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มและจัดหาปัจจัยการผลิตร่วมกัน ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งการผลิต การแปรรูป การรวบรวมผลผลิตเพื่อจำหน่าย โดยล่าสุด ธ.ก.ส. ได้ปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มเกษตรกรฯ ไปแล้ว 366 กลุ่ม เป็นเงิน 2,104 ล้านบาท
โครงการดังกล่าว มีวงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส.จะสนับสนุนเงินทุนให้แก่กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตร เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าลงทุน อัตราดอกเบี้ยทั้งโครงการ 3.01% ต่อปี โดยกลุ่มเกษตรกรฯ จ่ายดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี หรือล้านละร้อย ทั้งนี้ รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส.แทนเกษตรกร 2.875% ต่อปี และ ธ.ก.ส.รับภาระดอกเบี้ยเอง 0.125% ต่อปี ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนับตั้งแต่วันกู้ เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 30 มิถุนายน 2575
นายธนารัตน์ กล่าวว่า สำหรับหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแปลงใหญ่ ต้องเป็นสหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร ที่รวมตัวกันตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป และมีพื้นที่การผลิต ทั้งประเภทพืชไร่ ยางพารา ข้าว ปาล์ม ไม้ผล พืชผัก ไม้ดอก ประมง และปศุสัตว์ รวมกันตั้งแต่ 300 ไร่ขึ้นไป
อย่างไรก็ดี ในส่วนของพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ธ.ก.ส. ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 7 กลุ่ม เป็นเงิน 8.14 ล้านบาท และสำหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตดอกเบญจมาศแปลงใหญ่ บ้านตาติด ตำบลในเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นตัวอย่างการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาการเกษตรแปลงใหญ่ที่สามารถลดต้นทุนการผลิต เช่น การซื้อปุ๋ย ยา กระดาษในการห่อดอกเบญมาศ รวมถึงการขยายองค์ความรู้ในการผลิตต้นพันธุ์เอง ช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับสมาชิกกว่า 43 ราย
"ที่สำคัญ ทำให้กลุ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ค้า และผู้ซื้อทั่วประเทศ และเป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายดอกเบญจมาศในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างทั้งหมด หากกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ฯ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา" นายธนารัตน์ กล่าว