นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า จากปัญหาราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันที่กลับมาเป็นขาขึ้นใหม่อีกครั้ง และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกหากสงครามรัสเซียยูเครนยังยืดเยื้อ และหลายประเทศมีการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งมองว่ารัฐบาลมีแนวโน้มจะเลิกพยุงราคาดีเซลในไม่ช้า ประกอบกับค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มก็เตรียมจะปรับขึ้นราคา รวมถึงสินค้าต่างๆ กำลังจะเรียงหน้าขึ้นราคาอันเนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
สถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครน จะกระทบกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในสินค้าจำนวนมากกว่า 200 ชนิด ทำให้ราคาสูงขึ้น ทั้งราคาปุ๋ย ราคาอาหารสัตว์ ราคาแร่ธาตุต่างๆ รวมถึงแร่ธาตุหายากที่ใช้ผลิตไมโครชิปด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้ระดับราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น และเงินเฟ้อจะยิ่งสูงขึ้น อีกทั้งสินค้าจำเป็นหลายชนิดได้เริ่มขึ้นราคากันแล้วเช่น ไข่ไก่ บะหมี่สำเร็จรูป นมข้นหวาน มะนาว ฯลฯ และจะมีสินค้าต่างๆ ขึ้นราคาเพิ่มขึ้นกันอีก
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรต้องหันกลับมาพิจารณาแล้วว่าจะทำอย่างไร เพื่อช่วยเหลือและลดค่าครองชีพของประชาชนเพื่อให้ประชาชนอยู่รอดได้
"คำแนะนำเพียงให้เปิดแอร์ที่ 27 องศา ควบคู่เปิดพัดลม และไม่ใช้เตารีด ไดร์เป่าผมในห้องที่เปิดแอร์ และหมั่นล้างแอร์ รวมถึงใช้รถเท่าที่จำเป็น ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเรื่องดี แต่เป็นเรื่องที่เก่ามาก และจะไม่สามารถช่วยประชาชนให้มีชีวิตรอดจากภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ในภาวะเช่นนี้ได้" รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าว
พร้อมเสนอแนะให้ พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชนที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ต้นทุนสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยสามารถทำได้จริงดังนี้
1. ด้านราคาน้ำมัน
- ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก 2.99 บาท จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3.20 บาท (ภาษีมูลค่าเพิ่มจะลดลง 0.21 บาท) โดยเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพียงลิตรละ 0.005 บาท เหมือนในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
- ลดราคาหน้าโรงกลั่นของไทยให้เท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ (ไม่บวกค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ)
- ถ้าราคาเอทานอลถูกกว่าราคาเนื้อน้ำมัน ควรพิจารณาผสมสัดส่วนของเอทานอลเพิ่ม เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซิน
- ต้องคืนเงิน 20,087 ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่โอนไปเป็นรายได้รัฐกลับคืนมา เพื่อช่วยลดราคาน้ำมันในช่วงนี้ ถ้าจะไม่คืนก็ต้องชี้แจงเหตุผล
2. ด้านราคาก๊าซ
- ก๊าซหุงต้มเป็นสัดส่วนที่ประเทศไทยผลิตได้เองจากโรงแยกก๊าซ และได้จากการกลั่นน้ำมัน ดังนั้นจึงควรรักษาระดับราคาเดิมเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน โดย บมจ. ปตท. (PTT) ควรสนับสนุนราคาในส่วนนี้ โดยขึ้นราคาเฉพาะก๊าซ LPG ที่เติมรถยนต์และก๊าซที่ใช้ในอุตสาหกรรม
- เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มสำหรับก๊าซ LPG ที่ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อมาช่วยพยุงราคาก๊าซ ซึ่งในอดีตตนเคยสั่งเก็บไว้แล้ว กก.ละ 1 บาท
3. ด้านราคาไฟฟ้า
- เจรจาขอลดค่าความพร้อมสำหรับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จ แต่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเพราะกำลังการผลิตล้นเกิน ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตเกินกว่า 40% โดยขอให้เก็บค่าความพร้อมลดลง ค่าไฟจะได้ลดลง และหยุดการให้ใบอนุญาตไฟฟ้า จนกว่าการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าล้นเกินมาก
- ลดส่วนต่างของไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าของเอกชนในราคาถูก แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) นำมาขายให้กับประชาชนในราคาที่แพง
- การเจรจาหาแหล่งก๊าซราคาถูก เพื่อลดราคาไฟฟ้า เพราะประเทศไทยใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าถึงประมาณ 70%
"เรื่องเหล่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถทำได้ทันที และจะช่วยประชาชนได้ ดีกว่าจะมาบอกแต่เรื่องเก่าๆ ที่ประชาชนทราบอยู่แล้ว และไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบผลงาน 8 ปี 10 ปี ก็อยากจะบอกว่าในอดีตที่น้ำมันราคาสูง รัฐบาลสมัยพรรคเพื่อไทยภายใต้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี โดยในปี 2555 เศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 7.2% ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยทำได้ แม้ราคาน้ำมันจะลดต่ำลงมากมาตลอด นี่เป็นความล้มเหลวอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ และเป็นการเสียโอกาสของประเทศไทยที่จะได้พัฒนาในช่วงราคา 7 ปีที่น้ำมันมีราคาถูก" นายพิชัย ระบุ