นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) คาดว่า ราคาทองคำในปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 2,075 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยมองแนวต้านถัดไปที่ 2,200 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ส่วนแนวรับที่ 1,800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หากยังไม่หลุดแนวรับดังกล่าวถือว่าภาพยังดูดี
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ ทั้งจากราคาทองในตลาดปรับสูงขึ้น และเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมากแตะ 32,000 บาท/บาททองคำแล้ว โดยหากราคาทองคำตลาดโลกขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเดิม 2,075 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ จะทำให้ราคาทองในประเทศสูงขึ้นไปถึง 34,000 บาท/บาททองคำ (ประเมินจากค่าเงินบาทที่ 33.40 บาท/เหรียญสหรัฐ)
ปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กลับมาตึงเครียดขึ้น เนื่องจากรัสเซียถือเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และหลายประเทศเริ่มเข้ามาเก็บทองคำมากขึ้น อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เก็บทองคำเพิ่มขึ้น เพราะเริ่มมีความกังวลกับเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบค่อนข้างมาก ดังนั้น ทองคำจึงเป็นทางเลือกให้กับธนาคารกลาง และนักลงทุน
แม้ว่าที่ผ่านมาคริปโตเคอร์เรนซีเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่คึกคักมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ในยูเครนทวีความร้อนแรงในช่วง 1 เดือนที่ผานมา แต่คนก็ยังเชื่อมั่นในทองคำมากกว่า เพราะทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อง่ายขายคล่อง จึงเลือกเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ต้องมีไว้ในพอร์ต นอกจากนี้ ยังมาจากปัจจัยที่ธนาคารกลางหลายประเทศมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยยิ่งสนับสนุนราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
นางสาวฐิภา แนะนำถือทองคำในพอร์ตราว 5-10% เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Save Haven) และเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน จะเห็นได้ว่าในช่วง 3-4 ปีตั้งแต่เกิดสถานการณ์การระบาดโควิด-19 คนหันมากลงทุนทองคำมากขึ้น และรอบนี้มาจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ดันให้ราคาทองคำพุ่งไปที่ 2,069 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งทองคำในประเทศปรับขึ้นไปชน 32,000 บาท/บาททองคำ ปรับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็วจากต้นปี 65 ที่ราคาทองคำอยู่ที่ประมาณ 26,500 บาท/บาททองคำ
ที่เห็นได้ชัดจากกองทุน SPDR ที่ขายทองคำในช่วงปลายปีหลังสถานการณ์การระบาดโควิด-19 คลี่คลาย ตลาดหุ้นก็เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น แต่เมื่อมีสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนในเดือน ม.ค.-มี.ค.65 กองทุน SPDR ก็กลับเข้ามาซื้อทองคำเพิ่มขึ้น ดังนั้น จะเห็นว่าเมื่อคนเกิดความกังวล ทองคำก็จะกลับมามีบทบาท หรือหากมีภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นและยิ่งมีความกังวล ก็จะมีแรงซื้อทองคำมากขึ้น โดยในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าหากเงินเฟ้อสูงกว่าระดับ 3% ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น 14% โดยเฉลี่ย
นอกจากนี้ จากที่ราคาน้ำมันรอบนี้ปรับตัวขึ้นเหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นด้วย เพราะคนกังวลเรื่องเงินเฟ้อสูงขึ้นมากก็มีการลงทุนทองคำเพื่อป้องกันเงินเฟ้อด้วย
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม หากคลี่คลายลง แน่นอนว่าราคาทองคำก็จะปรับตัวลง นอกจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ นอกเหนือจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ และยังมีปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐที่สูงเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลบวกต่อราคาทองคำ
ดังนั้น มองว่าแม้ราคาทองคำปรับตัวลดลงมาบ้าง แต่ยังไม่ใช่เทรนด์ขาลงของทองคำ ภาพใหญ่หากราคาทองคำยังยืนเหนือระดับ 1,800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ได้ หรือราคาทองคำอาจจะย่อตัวได้มาที่ 28,000 บาท/บาททองคำ แต่เชื่อว่าจะไม่ลงไปถึง 26,000 บาท/บาททองคำ ในช่วงต้นปี 65 มองว่าระยะสั้นอาจมีแรงเทขายทำกำไรแต่ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปต่อ