นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้ามาตรการแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี 2565 และการแก้ไขปัญหาการส่งออกผลไม้ ซึ่งเป็นการประชุมร่วมกับผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้แทนเกษตรกร ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง สถานีบริการน้ำมัน แพลตฟอร์ม โลจิสติกส์ สายการบิน ตลอดจนผู้แทนสถาบันการเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมกันเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ในทั่วทุกภาคของประเทศเป็นการล่วงหน้า สำหรับฤดูกาลผลิตปี 65 ซึ่งจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 13% คิดเป็นปริมาณรวมทั้งหมด 5.4 ล้านตัน
โดยสิ่งที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ คือ ประชุมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการเชิงรุกล่วงหน้า ตั้งแต่ครึ่งปีที่ผ่านมาคือมาตรการ 17+1 โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้มีมาตรการเปิดด่านเพิ่มขึ้นมาเป็นมาตรการที่ 18 ซึ่งการเตรียมตลาดล่วงหน้ารองรับ ขณะนี้การใช้มาตรการ 17+1 ที่ผ่านมา มีการเตรียมตลาดรองรับไว้แล้ว 450,000 ตัน ส่วนที่เหลือจะเป็นไปตามกลไกตลาด ที่เกษตรกรผลิตผลไม้ที่ได้คุณภาพ ล้งรับซื้อตามมาตรฐานและราคาที่เป็นธรรม ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกดำเนินการเตรียมการส่งออกต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตลาดส่งออกผลไม้ไทยตลาดใหญ่ คือ ประเทศจีน โดยในปี 2564 ส่งออกผลไม้ไปจีนมีมูลค่า 163,000 ล้านบาท ปริมาณ 2.2 ล้านตัน เป็นการส่งออกไป 3 เส้นทางหลัก คือ ทางเรือ 51% ทางบก 48% และทางอากาศ 0.54% โดยการประชุมวันนี้ ภาคเอกชนได้นำเสนอทางออกร่วมกัน 8 ประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการตลาด การส่งออกไปตลาดจีน
ประเด็นที่ 1 จะเจรจากับทางการจีนขอให้ช่วยเปิดด่าน ซึ่งเดิมเคยเปิด 4 ด่าน แต่ปิดไป 1 ด่าน คือ ด่านตงซิง จึงจะขอความร่วมมือจากจีนให้ช่วยเปิดด่านตงซิง เพื่อระบายผลไม้ออกไปได้ รวมทั้งขยายเวลาเปิดด่าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการส่งออกผลไม้ไทย ตนมอบให้ทูตพาณิชย์ ทูตเกษตรเจรจาต่อไป
ประเด็นที่ 2 ทางฝั่งลาวที่ไทยส่งผลไม้ผ่านเข้าไปในจีน โดยเฉพาะทางเชียงของไปโม่ฮานของจีน และผ่านด่านบ่อเต็น ขอให้ทูตพาณิชย์ ทูตเกษตร และกระทรวงการต่างประเทศช่วยเจรจาในการถ่ายรถ ซึ่งเดิมรถขนส่งจากไทยสามารถผ่านด่านไปเชียงของและถ่ายรถครั้งเดียวที่ด่านบ่อเต็นเพื่อเข้าจีนได้เลย แต่ช่วงหลังทางการลาวเปลี่ยนระบบให้ถ่ายรถที่ด่านเชียงของ อุปสรรค คือ รถลาวมีไม่เพียงพอ จะเจรจาขอให้กลับไปเหมือนถ่ายรถที่เดียวที่ด่านบ่อเต็น หรือให้ทางการลาวเพิ่มรถ
ประเด็นที่ 3 การขนส่งทางเรือ ขณะนี้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์คลี่คลายแล้ว และค่าระวางเรือยังทรงอยู่ จึงอยากให้เรือใหญ่เข้ามาเทียบท่าของไทยมากขึ้น ถ้ามีมาตรการอนุญาตให้มีการถ่ายลำจะจูงใจให้เรือใหญ่เข้ามา นำตู้เข้ามาได้มากขึ้น ช่วยให้มีตู้ส่งออกไปได้มากขึ้น ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศ ร่วมกับเอกชนและหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจะร่วมเจรจากันให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว
ประเด็นที่ 4 การขนส่งทางอากาศ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย สายการบินต่างๆ รวมทั้งผู้ส่งออกเร่งเจรจาร่วมกัน และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ช่วยสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน ให้ต้นทุนการขนส่งทางอากาศลดลง เพื่อเพิ่มช่องทางการส่งออกผลไม้ไปยังจีน
ประเด็นที่ 5 เส้นทางการขนส่งผ่านรถไฟ โดยเฉพาะรถไฟลาว-จีน ซึ่งรถไฟลาว-จีน จะเริ่มต้นจากหนองคายไปเวียงจันทน์และเข้าจีนที่ด่านโม่ฮาน แต่ด่านโม่ฮาน ยังไม่แล้วเสร็จ ต้องรอเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ดังนั้นจึงมอบให้ทูตพาณิชย์ และทูตเกษตร เจรจากับทางการลาว ว่าถ้าขนส่งผลไม้ผ่านรถไฟลาว-จีน เมื่อเข้าเวียงจันทน์ให้ผ่านด่านโม่ฮาน แล้วไปตรวจที่คุนหมิงทีเดียวที่เป็นจุดหมายปลายทาง หรือจะให้ตรวจที่ด่านบ่อเต็นก็ได้ เนื่องจากด่านโม่ฮานยังไม่เสร็จ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางการระบายผลไม้
ประเด็นที่ 6 การขนส่งผลไม้ผ่านนครพนม ผ่านลาว ผ่านเวียดนาม แล้วเข้าจีน ซึ่งต้องผ่านเวียดนามก่อน ดังนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ในวันที่ 20 เมษายน 2565 โดยจะหยิบยกประเด็นนี้ในระดับรัฐมนตรีมาเจรจากับทางการเวียดนาม เพื่อขออำนวยความสะดวก และช่วยลดการจราจรที่ติดขัดหน้าด่านฝั่งเวียดนาม
ประเด็นที่ 7 เอกชนขอให้ช่วยเจรจากับทางการจีน ประเด็นรถที่ตรวจพบโควิดที่ด่านก่อนเข้าจีน ซึ่งปกติจีนจะนำไปฉีดฆ่าเชื้อแล้วส่งกลับและปิดด่าน โดยเอกชนขอให้ช่วยเจรจาว่าให้พ่นฆ่าเชื้อ แล้วส่งกลับ โดยยินดีให้แบล็คลิสต์ แต่ขอว่าอย่าปิดด่าน
ประการที่ 8 เรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานช่วยเก็บเกี่ยวผลไม้ที่ภาคตะวันออก หรือจังหวัดอื่นๆ ที่จำเป็น ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ว่าราชการจังหวัด เข้ามามีบทบาทสำคัญ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายล้งเมื่อหมดฤดูผลไม้ทางภาคตะวันออก และให้อำนวยความสะดวกการไปรับซื้อผลไม้ที่ภาคใต้ด้วย
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่าผลผลิตผลไม้ปี 65 จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น 13% หรือประมาณ 5.42 ล้านตัน ซึ่งการบริโภคผลไม้ จะแบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 30% และตลาดต่างประเทศ 70% โดยตลาดในประเทศ ประกอบด้วยห้าง ตลาด รถเร่ ร้านอาหารและแปรรูป และตลาดต่างประเทศ คือ จีน 65% สหรัฐอเมริกา 10% ฮ่องกง 4% เวียดนาม 3% และมาเลเซีย 1% ซึ่งในตลาดต่างประเทศนั้น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม รวมทั้งจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าผลไม้ตามด่านชายแดนด้วย