ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสำหรับสัปดาห์ถัดไป (28 มี.ค.-1 เม.ย.) ที่ 33.30-33.90 บาท/ดอลลาร์ จากปิดตลาดในวันศุกร์ (25 มี.ค.) ที่ 33.55 บาท/ดอลลาร์ (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.72)
ขณะที่ระหว่างวันที่ 21-25 มี.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยรวม 5.02 พันล้านบาท แต่มีสถานะเป็น NET OUTFLOW ในตลาดพันธบัตร 2.50 หมื่นพันล้านบาท (ขายสุทธิ 1.24 หมื่นล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1.26 หมื่นพันล้านบาท)
ความเคลื่อนไหวเงินบาทสัปดาห์ที่ผานมามีทิศทางอ่อนค่า แตะระดับอ่อนค่าสุดรอบกว่า 2 เดือน ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับสงครามยูเครน-รัสเซียมีสัญญาณตึงเครียดมากขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ และกลุ่มนาโตจะตอบโต้รัสเซีย หากรัสเซียมีการโจมตียูเครนด้วยอาวุธเคมีหรืออาวุธชีวภาพ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ ยังมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีกรอบการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มจำกัดลงช่วงปลายสัปดาห์ หลังมีแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งน่าจะมาจากผู้ส่งออก
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนก.พ. ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปิดไตรมาส
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือนมี.ค. รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคา PCE Price Index เดือนก.พ. และข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/2564 นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูล PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนมี.ค. ของจีนด้วยเช่นกัน