สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย ไตรมาส 1/65 เท่ากับ 44 สะท้อนสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมากที่สุด แม้จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และต่ำกว่าไตรมาสที่ผ่านมาเล็กน้อย
ทั้งนี้ เป็นผลจากการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในไตรมาสนี้ รวมถึงปัจจัยจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 40% ทำให้ต้นทุนการเดินทางเพิ่มขึ้น ส่งผลต่ออารมณ์ในการจับจ่ายและการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้ชะลอตัวลงในปลายไตรมาสนี้
อย่างไรก็ดี สทท. เชื่อมั่นว่า การท่องเที่ยวของไทยจะพลิกฟื้น และกลับมาเป็นเครื่องจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ 20% ของ GDP ประเทศ สร้างงานให้คน 7.5 ล้านคนได้อีกครั้ง โดยตั้งเป้าปีนี้ จะต้องมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 16 ล้านคนสร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท
สำหรับไตรมาส 2/65 ผู้ประกอบการมองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย เท่ากับ 40 เนื่องจากมีความกังวลปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันสูง กระทบให้เกิดเงินเฟ้อ ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจะชะลอการเดินทางมากกว่าปีที่แล้ว ส่วนในประเทศมาจากปัจจัยราคาน้ำมันเพิ่ม ชะลอการเดินทางที่ปกติจะใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่า 50% ประกอบกับสถานการณ์โอมิครอนน่าจะถึงจุดพีคในช่วงเดือนเม.ย.
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศท่องเที่ยวทั้งในภูมิภาคยุโรป อเมริกา และเอเชีย มีนโยบายเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติแล้ว ทุกประเทศใช้นโยบาย Ease-of-Traveling ผ่อนคลายมาตรการเข้า-ออกประเทศจนเกือบจะกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติให้ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ สทท. เชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวของไทยจะพลิกฟื้นและกลับมาเป็นเครื่องจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ 20% ของ GDP ประเทศ สร้างงานให้คน 7.5 ล้านคนได้อีกครั้ง และที่สำคัญ คือ ท่องเที่ยวเป็นกลไกที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้เร็วและลึกที่สุด เพราะ Supply Chain ของท่องเที่ยวนั้นกว้างและลึก สามารถกระจายรายได้ตั้งแต่ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง เกษตร อาหาร สุขภาพ ไปจนถึง SME และชุมชนในท้องถิ่น ดังนั้นหากภาคท่องเที่ยวกลับมา ความเป็นอยู่ของคนไทยก็จะดีขึ้นได้ทันที
พร้อมย้ำว่า เราจะต้อง Re-Design การท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน โดยสร้างสมดุลใน 3 มิติ ได้แก่
- การสร้างสมดุลที่ 1 ด้านการตลาด (Demand-Supply) คือการสร้างโอกาสทางการตลาดให้เพียงพอที่จะรักษาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภาคการท่องเที่ยวให้อยู่รอด รักษาการจ้างงานให้ได้ แล้วมาพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน หากถามว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเท่าใด รายได้เท่าใด ภาคการท่องเที่ยวถึงจะอยู่ได้ คำตอบคือ 40% ของปี 2562 ที่ผ่านมา ประเทศไทยลงทุนสร้าง Supply Chain รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 40 ล้านคน นักท่องเที่ยวไทย 166 ล้านคน/ครั้ง รายได้รวม 3 ล้านล้านบาท เป้าหมายของ สทท. คือ ผลักดันให้เกิด Demand ให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 16 ล้านคน คนไทยเที่ยวไทย 75 ล้านคน/ครั้ง เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 1.2 ล้านล้านบาทให้ได้ และรายได้นี้จะก่อให้เกิดการจังงาน และจ่ายภาษีเป็นแสนล้านบาท
- การสร้างสมดุลที่ 2 ด้านสินค้า (Natural-Manmade) คือ การเพิ่ม Man-made ลดการพึ่งพาและทำลายทรัพยากรธรรมชาติช่วงโควิด-19 ธรรมชาติกลับมาสมบูรณ์ขึ้น เราต้องรักษาไว้โดยหันมาโฟกัสการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่มนุษย์เป็นผู้สร้างและบริการ เช่น กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กลุ่มท่องเที่ยวเชิงกีฬา กลุ่มท่องเที่ยวเชิงอาหาร, กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจและ MICE กลุ่มสายศรัทธา ฯลฯ เป็นต้น ที่สำคัญคือ กลุ่มการท่องเที่ยวชุมชน และกลุ่มท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบที่สอดรับกับนโยบาย BCG Model ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้วย
- การสร้างสมดุลที่ 3 สมดุลเชิงพื้นที่ (City-Community) ซึ่งที่ผ่านมาเราประสบปัญหา Over Tourism ในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง แต่แหล่งท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าถึงมากนัก โดย สทท. จะใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี SMART Tourism เข้ามาช่วยผู้ประกอบการสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ สร้างการเล่าเรื่อง สร้างโอกาสทางการตลาดกับแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ผ่านทั้งโลกออนไลน์ ออฟไลน์และโลก Metaverse เพื่อกระจายโอกาส ลดความเหลือมล้ำปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและ SDGs
"หลายคนมีความกังวลว่า การเปิดประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาทำลายสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติไม่เหมือนเดิม ซึ่งวิธีแก้ปัญหา คือ ต้องตั้งเป้าส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านอื่นๆ โดยต้องการงบประมาณเพิ่ม เช่น เพิ่มงบด้านการตลาดให้ททท. เป็นต้น" นายชำนาญ กล่าว
นายชำนาญ กล่าวว่า เราต้องสร้างสมดุลการท่องเที่ยวทั้ง 3 ด้านให้ลงตัว นอกจากนี้ ไทยก็ควรเปิดประเทศให้เร็วขึ้น โดยเดือนก.ค. 65 โรคโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ซึ่งไทยควรเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการท่องเที่ยวให้เร็วขึ้น อาจเลื่อนมาเป็นเดือน พ.ค. โดยการเปิดประเทศต้องทำให้เร็ว ประกาศชัดเจนให้รับรู้ทั่วโลก
ด้านนายกิตติ พรศิวะกิจ ประธานคณะอนุกรรมการ Smart Tourism สทท. กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ฟังเสียงนักท่องเที่ยว ฟังเสียงผู้ประกอบการ และนำมาทำแผนปฏิบัติการเชิงรุก ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
1. Ease of-Traveling ยกเลิก Thailand Pass ยกเลิกการตรวจ RT-PCR (Day 0) เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย โดยอาจยังคงมีการตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ไว้ 1 ครั้ง
2. จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อพัฒนา Supply-side เตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยีการตลาด และสินค้า-บริการให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่มีความสนใจเฉพาะมากขึ้น และเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจยังเดินต่อไปได้
3. การส่งเสริมการตลาดเชิงลึกในทุกมิติ ทุก Customer Journey โฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่ลึกขึ้น เช่น การเจาะลึกตามชาติ วัย และความสนใจ และสร้าง Digital Media ให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ เพราะในยุคนี้ นักท่องเที่ยวที่สนใจบริการแบบเดียวกัน หากต่างภาษา ต่างวัย เราก็จำเป็นต้องมีการนำเสนออัตลักษณ์ (Signature ) สร้างเรื่องเล่า (Story) และใช้เครื่องมือสื่อสารที่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้น สทท. ได้รวบรวมคนทำงานในหลายมิติ มาทำงานร่วมกัน มา Collaborate เพื่อเดินหน้าไปพร้อมกัน เช่น คณะทำงาน Metaverse Tourism / คณะทำงาน Halal Tourism / คณะทำงาน Smart Wellness ได้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง Halal Wellness Virtual Event เป็นต้น
ทั้งนี้ สทท. ประเมินการท่องเที่ยวไทยปี 65 ออกเป็น 3 ฉากทัศน์ คือ
1. เปิดประเทศวันที่ 1 ต.ค. 65 (ไม่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และรัสเซีย) ภายใต้เงื่อนไข ไม่มีการตรวจ RT-PCR โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น และไม่มีสงคราม คาดไทยมีนักท่องเที่ยว 5,600,000 คน
2. เปิดประเทศวันที่ 1 ก.ค. 65 ภายใต้เงื่อนไข ไม่มีการตรวจ RT-PCR โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น และไม่มีสงคราม คาดไทยมีนักท่องเที่ยว 12,000,000 คน
3. เปิดประเทศวันที่ 1 พ.ค. 65 (ฉากทัศน์ที่สทท. คาดหวังให้เป็น) ภายใต้เงื่อนไข ไม่มีการตรวจ RT-PCR โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น และไม่มีสงคราม คาดไทยมีนักท่องเที่ยว 16,000,000 คน
นอกจากนี้ สทท. มองเห็นความจำเป็นของการเพิ่มงบประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดให้กับหน่วยงานรัฐต่างๆ เช่น ททท. สสปน. อพท. เพราะช่วงเวลานี้คือโอกาสที่ดีในการแบ่งชิงโอกาสทางการตลาด และสร้างให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำการท่องเที่ยวของโลกได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ หากเรายังเดินหน้าการตลาดและนโยบายการเปิดประเทศแบบไม่เต็มตัว เราจะพลาดโอกาสทองที่ประเทศอย่าง ตุรกี ยูเออี มัลดีฟส์ ได้รับนักท่องเที่ยวในอัตรา 50-78% ตั้งแต่ปีที่แล้วในขณะที่ประเทศไทย เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งหากภาครัฐมีการปรับนโยบายการส่งเสริมค้านท่องเที่ยวเป็นเชิงรุกเต็มตัวตามข้อเสนอ จะมีโอกาสเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวของปี 65 นี้จากที่ตั้งเป้าไว้เพียง 520,000 ล้านบาท เป็น 1.2 ล้านล้านบาทได้ ซึ่งรายได้ส่วนที่เพิ่มได้อีก 680,000 ล้านบาทนี้ จะกระจายไปถึงคนตัวเล็กอย่างแท้จริง
นายกิตติ กล่าวเสริมว่า สทท. ยินดีที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบและบริหารจัดการงบพัฒนาและส่งเสริมการตลาดให้ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ทางรัฐบาลมั่นใจได้ว่า งบประมาณที่ใช้จะเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย สามารถฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความยากจน สร้างความสมดุลและยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วนได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายกิตติ กล่าวถึงประเด็นเรื่องราคาน้ำมันสูงว่า ในระยะสั้นยังไม่กระทบต่อเที่ยวบินที่จะเข้ามาในประเทศ ส่วนในช่วงเทศกาลสงกราต์คาดว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามามากขึ้น เนื่องจากช่วงเม.ย. มีการผ่อนคลายการตรวจ RT-PCR เหลือครั้งเดียว โดยคาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่าเดือนก่อนๆ 1-2 เท่า