ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 30 มีนาคมนี้ กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ดี กนง. คงเผชิญความท้าทายมากขึ้น ในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ วิกฤติรัสเซีย-ยูเครนได้ส่งผลให้ราคาพลังงาน รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นโลหะอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตรที่ใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทย และไปบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีความเปราะบางอยู่แต่เดิมจากผลกระทบของโควิด-19 นอกจากนี้ วิกฤติรัสเซีย-ยูเครนยังมีผลต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทย ที่ปัจจุบันพึ่งพานักท่องเที่ยวจากยุโรปอย่างมากในช่วงที่จีนยังคงปิดประเทศ อีกทั้งยังจะกระทบการส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าเป็นสำคัญ
"ดังนั้น ท่ามกลางความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่ากนง. จะยังพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ในการประชุมที่จะถึงนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยกนง. คงจะให้น้ำหนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลักแม้ว่าจะมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน" บทวิเคราะห์ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง. คงเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ท่ามกลางแนวโน้มราคาพลังงานที่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะข้างหน้า โดยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2565 อยู่ที่ 4.5% ทั้งนี้ ราคาพลังงานที่เร่งสูงขึ้นในตลาดโลกได้ส่งผลให้ภาระค่าเชื้อเพลิงและค่าขนส่งในประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่มาตรการภาครัฐที่ช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและการขนส่ง อาจจะทำได้ในระยะสั้นๆ เนื่องจากภาครัฐจำเป็นต้องแบกรับภาระต้นทุนทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลให้ผู้ผลิตเผชิญกับต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่อยู่ในระดับสูงถึง 9.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ผลิตบางรายอาจทยอยส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ไปยังราคาสินค้าผู้บริโภค และในท้ายที่สุดส่งผลให้เงินเฟ้อนั้นเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นนั้นเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้อย่างตรงจุดเท่าใดนัก อีกทั้งจะยิ่งไปบั่นทอนการบริโภคและการลงทุนไปมากกว่าเดิม ดังนั้น คาดว่ากนง. คงจะยังไม่พิจารณาเลือกใช้นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกันเงินเฟ้อตามทิศทางธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ ขณะที่นโยบายการคลังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเยียวยาผลกระทบของครัวเรือนจากปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น
ในขณะที่ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงจะสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ครั้งที่ผ่านมา เฟดได้เริ่มวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 0.25-0.50% อีกทั้งเฟดยังได้ส่งสัญญาณจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งในระยะข้างหน้า
"ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยและสหรัฐฯ ที่กว้างขึ้น รวมถึงหากเงินเฟ้อในไทยยืนในระดับสูงต่อเนื่อง จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยติดลบมากขึ้น เป็นการเปิดความเสี่ยงทางด้านเสถียรภาพการเงิน ดังนั้น กนง. คงพิจารณาสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเป็นรอบๆ ไป โดยชั่งน้ำหนักความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันเงินทุนไหลออก รวมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ซึ่งแรงกดดันน่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เป็นต้นไป" บทวิเคราะห์ระบุ
อย่างไรก็ตาม หากภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ฟื้นตัวตามที่คาด เนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมิน เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงอาจเผชิญการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบอีกครั้งในปีนี้ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้อยู่ในทิศทางอ่อนค่าไปอีก
ทั้งนี้ ในการประชุม กนง.ครั้งนี้ จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งตลาดคงจะต้องติดตามการปรับประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของกนง. เนื่องจากจะเป็นการสะท้อนมุมมองของกนง. ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ากนง. คงจะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ลงไม่มากนักจากประมาณการเดิม ณ เดือนธันวาคม 2564 ที่ 3.4% แต่หากกนง. มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดเงินตลาดทุนได้ในระยะอันสั้น