ทั้งนี้การชดเชยราคาดังกล่าวเกิดจาก ราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากปัญหาการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ค่ายน้ำมันต่างช่วยตรึงราคาจำหน่ายเอาไว้เท่าเดิม ส่งผลค่าการตลาดเซลของผู้ค้าน้ำมัน ณ วันที่ 18 เม.ย.65 ติดลบสูงถึง 1.72 บาทต่อลิตร จากค่าตลาดที่ควรได้ 1.5-2 บาทต่อลิตร ดังนั้นจึงต้องชดเชยค่าการตลาดให้กับผู้ค้าน้ำมันเพื่อพยุงราคาดีเซลไว้ที่ระดับ 29.94 บาทต่อไปก่อน
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) วันที่ 18 เม.ย. 65 ได้อ้างอิงค่าการตลาดที่ควรได้ระหว่างวันที่ 1-18 เม.ย.65 ควรอยู่ที่ 1.29 บาทต่อลิตร แต่ค่าการตลาดจริงกลับติดลบ 1.72 บาทต่อลิตร ขณะที่ค่าการตลาดกลุ่มเบนซินอยู่ระดับ 1.5-2 บาทต่อลิตร ซึ่งสวนทางกับราคาน้ำมันโลกที่ยังทรงตัวเกินระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
โดย ณ วันที่ 18 เม.ย. 2565 เวลาประมาณ 14.16 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ระดับ 104.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 106.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 111.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
สำหรับการเพิ่มการชดเชยราคาดีเซลดังกล่าวส่งผลให้สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบแตะระดับ 50,614 ล้านบาท (ณ วันที่ 17 เม.ย.65) ถือว่าติดลบสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 64 เป็นต้นมา เนื่องจากต้องนำเงินไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม(LPG) ทำให้บัญชีน้ำมันติดลบ 19,332 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 31,282 ล้านบาท (กรอบวงเงินสำหรับชดเชย LPG สูงสุดไม่เกิน 33,000 ล้านบาท)
พร้อมกันนี้หากราคาน้ำมันโลกยังทรงตัวระดับสูงในวันนี้ ผู้ค้าน้ำมันอาจพิจารณาปรับขึ้นราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินได้ เนื่องจากค่าการตลาดยังนับว่าต่ำอยู่ ส่วนดีเซลจะไม่ปรับขึ้นเนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ ได้นำเงินไปพยุงราคาไว้แล้ว