นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ตามที่ได้มีข่าวเผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในประเด็นการกู้เงินของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย การชำระคืนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ประเทศ ประเทศไทยเสี่ยงล้มละลาย ผ่านสื่อต่างๆ นั้น ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่ง สบน. ได้สนับสนุนโครงการลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ผ่านการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558 - 2564 รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 178 โครงการ วงเงินกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทุกสาขาทั้งด้านคมนาคม สาธารณูปการ พลังงาน สังคม และการพัฒนาพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และรัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ระยะปานกลาง ในช่วง 5 ปี (ปี 2565 - 2569) เพื่อรองรับทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวในอนาคต วงเงินประมาณ 840,000 ล้านบาท
ในแต่ละปี สบน. ได้จัดทำแผนฯ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและบริหารสภาพคล่อง การบริหารหนี้คงค้างเดิมเพื่อบริหารความเสี่ยง และการชำระหนี้จากงบประมาณและเงินแหล่งอื่น ซึ่งแผนฯ เป็นการดำเนินการภายใต้กลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium Term Debt Strategy) โดยพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และการปรับโครงสร้างหนี้ อีกทั้งยังต้องจัดทำภายใต้กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยแผนฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีต่อไป
นางแพตริเซีย กล่าวว่า ในการกู้เงินแต่ละครั้ง สบน. ได้พิจารณาต้นทุนการระดมทุน วงเงินกู้ รวมถึงประเภทของตราสารหนี้ที่จะออก โดยใช้เครื่องมือการกู้เงินที่หลากหลาย และพิจารณาช่วงเวลาการกู้ให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงเม็ดเงินจากภาคเอกชน (Crowding Out Effect) ในประเทศ ป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวน ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม และไม่กระทบต่อความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต
โดยที่ผ่านมา สบน. กู้เงินในประเทศเป็นหลักประมาณ 98% จึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละปีต่ำ นอกจากนี้ มากกว่า 83% เป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ จึงทำให้มีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งยังมีต้นทุนการกู้เงินเฉลี่ยที่เหมาะสมที่ 2.35% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่ปกตินับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลจำเป็นต้องช่วยเหลือภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว ผ่านการดำเนินนโยบายการคลัง จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) โดยการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ เพื่อให้สามารถรองรับกรณีการกู้เงินเพิ่มเติมสำหรับดำเนินนโยบายการคลังและแผนพัฒนาฟื้นฟูเศรษฐกิจในอนาคต อย่างไรก็ดี หากในอนาคตสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลสามารถทบทวนความเหมาะสมของเพดานหนี้สาธารณะได้ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ.วินัยฯ)
ผู้อำนวยการ สบน. ยืนยันว่า ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) โดย สบน. ได้ติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8% และในอีก 5 ปีข้างหน้ายังคงต่ำกว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 10%
การชำระหนี้ในแต่ละปี กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรงบชำระหนี้ เพื่อนำไปชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. วินัยฯ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้อย่างพอเพียง โดยกำหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ที่ 2.5-4.0% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และชำระดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน และ สบน. ไม่ได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาชำระหนี้แต่อย่างใด
สำหรับหนี้คงค้างที่เหลือ สบน. จะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อกระจายการชำระหนี้ และลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพิจารณาต้นทุนและความเสี่ยงเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัท Moody?s Investors Service (Moody?s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 โดยเชื่อมั่นว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันและมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป อีกทั้งคาดว่า ช่วง 2-3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมาก ประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมาก จะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยยังคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
"ขอให้มั่นใจว่า สบน. ได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและดำเนินมาตรการทางการคลังภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งชำระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งส่งผลให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและน่าลงทุน (Investment Grade) นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเชื่อมั่นความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านความมีเสถียรภาพและความโปร่งใสของฐานะการเงินการคลังของประเทศ และไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล้มละลายแต่อย่างใด" นางแพตริเซีย ระบุ