นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คนใหม่เปิดวิสัยทัศน์ เตรียมสานต่อการทำงานจากคณะกรรมการบริหารชุดเดิมที่มีความต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาการส่งออกเป็นเครื่องจักรเพียงตัวเดียวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยสามารถเติบโตได้กว่า 17% และพลิกฟื้นจีดีพีให้กลับมาขยายตัวได้ 1.6% โดยมีนโยบาย One F.T.I. หลอมรวมศักยภาพที่มีอยู่เข้าร่วมกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน สู่ความสำเร็จร่วมกันด้วย One Vision, One Goal and OneTeam เพื่อเชื่อมโยงบุคลากรภายใน และประสานองค์กรภายนอก
ทั้งนี้ เรื่องด่วนที่จะเร่งดำเนินการคือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ทั้งการหาแหล่งเงินทุนและหาตลาดให้, การดำเนินโครงการ 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรม, การส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตโปรตีนจากพืช, โครงการ Zero Waste เพื่อนำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์, การแก้ปัญหาห่วงโซ่การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
สำหรับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตจะเปลี่ยนไปจากเดิม ได้แก่ S-Curve, BCG และ Climate Change
นอกจากนี้ เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในเดือน พ.ค.65 ประเมินผลกระทบเรื่องปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เพื่อพิจารณาแนวทางคลี่คลายปัญหา
"เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องพูดคุยกัน เพราะตอนนี้เงินเฟ้อขยายตัวเพิ่มจากที่แบงก์ชาติคาดการณ์ไว้ที่ 1.5% มาอยู่ที่ 5.7% จากสถานการณ์ยูเครน และมีการคาดการณ์ว่าปีนัเงินเฟ้อจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 7-8%" นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับปัญหาราคาน้ำมันดีเซลหลังครบกำหนดมาตรการตรึงราคาไว้ที่ลิตรละ 30 บาท และลดภาษีสรรพสามิตลิตรละ 3 บาทนั้น อยากให้ภาครัฐทยอยปรับขึ้นราคาดีกว่าปล่อยให้ปรับขึ้นรวดเดียว ซึ่งจะมีผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า
ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงนั้น นายเกรียงไกร กล่าวว่า การพิจารณาขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของคณะกรรมการไตรภาคี ไม่ควรให้เป็นเรื่องการเมือง เช่น ควรพิจารณาจากทักษะของแรงงาน เพราะนายจ้างยินดีที่จะจ่ายแพงหน่อยแล้วทำงานได้
ส่วนการต่ออายุมาตรการคนละครึ่งของภาครัฐนั้น หากขยายโครงการต่อไปก็จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้ แต่การดำเนินโครงการในเฟสที่ 2 และ 3 แผ่วลงไปหน่อย