นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือทางการค้า ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับกรมพาณิชย์ มณฑลกานซู่ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายเริ่น เจิ้นเห้อ ผู้ว่าการมณฑลกานซู่
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ มีความหลากหลาย และมีจุดเด่นที่แตกต่างกันในแต่ละมณฑล ด้วยเหตุนี้ จึงมีนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ จัดทำความร่วมมือกับมณฑลสำคัญของจีน เพื่อนำจุดเด่นของแต่ละมณฑลมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งมณฑลกานซู่จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ทั้งจากไทยและอาเซียนสู่จีน ไปจนถึงเอเชียกลาง และยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าทางบกที่สำคัญสายหนึ่งของโลกมาตั้งแต่อดีตกาล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ 'เส้นทางสายไหม'
ปัจจุบัน เส้นทางสายไหมได้ขยายจากเส้นทางทางบกไปสู่เส้นทางสายไหมทางทะเล และได้มีเส้นทางระเบียงการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor: ILSTC) ที่มีจุดเริ่มต้นที่ท่าเรือชินโจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ผ่านนครฉงชิ่ง และเข้าสู่มณฑลกานซู่ เชื่อมต่อไปยังดินแดนทางทิศตะวันตกของจีน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบขนส่งทางรางที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วประเทศ โดยถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ระดับชาติในการพัฒนาความเชื่อมโยงจีน ภายใต้นโยบายข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI)
สำหรับโอกาสทางการค้า ไทยมีความโดดเด่นในสินค้าฮาลาล สินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป อาหารและโลจิสติกส์ ในขณะที่กานซู่ เป็นมณฑลที่มีความโดดเด่นด้านการแพทย์แผนจีน โดยมีผู้เชี่ยวชาญและวัตถุดิบสมุนไพรที่มีความหลากหลาย และยังเป็นแหล่งทรัพยากรด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกระแสที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ดังนั้นจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนาม MOU ด้านการค้าในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางการค้าระหว่างไทยและจีน และสามารถต่อยอดการค้าอีกไม่ต่ำกว่า 15% หรือคิดเป็นมูลค่าการค้ารวมประมาณ 1,265 ล้านบาท
"เชื่อมั่นว่าการลงนาม MOU ในวันนี้ จะเป็นกลไกที่สำคัญในการส่งเสริมการค้า และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตต่อไป" นายจุรินทร์ กล่าว
ด้านนายเริ่น เจิ้นเห้อ ผู้ว่าการมณฑลกานซู่ กล่าวว่า เชื่อว่าการลงนาม MOU จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยน และความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ประสบผลสำเร็จที่ดียิ่งขึ้น ดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายต้องการขยายขอบเขตความร่วมมือทางการค้า "ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)" มีผลบังคับใช้ในจีนและไทยอย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายต้องใช้กฎข้อสัญญาในการเปิดตลาดที่ตกลงกันไว้อย่างเต็มที่ ส่งเสริมความเชื่อมโยงของตลาดระหว่างมณฑลกานซู่กับประเทศไทย แบ่งปันทรัพยากร เพิ่มมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก และอำนวยความสะดวกในตลาดให้มากยิ่งขึ้น
2. ทั้งสองฝ่ายต้องยกระดับความร่วมมือและการลงทุน มณฑลกานซู่มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เน้นตลาด ถูกกฎหมาย และเป็นสากล มณฑลกานซู่ยินดีต้อนรับผู้ประกอบการไทยอย่างจริงใจ เพื่อให้มาลงทุนในมณฑลกานซู่ โดยตั้งแต่วันที่ 7-11 ก.ค. 65 จะมีการจัดประชุมเจรจาการค้าการลงทุนหลานโจว ที่มณฑลกานซู่ ขอเรียนเชิญผู้ประกอบการไทยมาเข้าร่วมงานดังกล่าว เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ และขยายขอบเขตความร่วมมือระหว่างกัน
3. ทั้งสองฝ่ายต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มณฑลกานซู่ได้รับการแนะนำโดย The New York Times ให้เป็น 1 ใน 52 จุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดในโลก จึงหวังว่ามณฑลกานซู่กับประเทศไทยจะเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือแบบ win-win
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า มณฑลกานซู่ หรือมณฑลกังชก มีประชากร 25 ล้านคน ใหญ่เป็นอันดับที่ 22 ของจีน (ตามลำดับจำนวนประชากร) มีชาวมุสลิม 1.6 ล้านคน คิดเป็น 6.4% เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกพลังงานหลักจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ได้แก่ พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ
นอกจากนี้ ยังเป็นจังหวัดที่ผลิตชิปที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในจีน และเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเลียม อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า และอุตสาหกรรมเคมีด้วย ซึ่งสินค้าส่งออกหลักของไทยไปกานซู่ 5 อันดับแรก ปี 65 (ม.ค.-ก.พ.) ได้แก่ 1. เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 2. เอสเซนเชียลออยล์และเรซินอยด์ เครื่องหอม เครื่องสำอาง 3. พืชผักรวมทั้งรากและหัวบางชนิดที่บริโภคได้ 4. เมล็ดพืช และผลไม้ที่มีน้ำมัน เมล็ดธัญพืชและผลไม้เบ็ดเตล็ด และ 5. ปลาและสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง