นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ผลักดันแนวคิด "สรรพากรยั่งยืน" โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล และการบริหารงานยุคใหม่มาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บภาษี เพื่อสร้างเสถียรภาพการคลังของไทยให้ยั่งยืน จนทำให้การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 65 เกินเป้าถึง 101,695 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายถึง 14% ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของไทยในช่วงครึ่งแรกปีงบประมาณ เกินเป้าอยู่ 83,977 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงเกือบ 4 ปี ที่ผ่านมา กรมสรรพากรนำกลยุทธ์ Digital Transformation มาปรับเปลี่ยนกระบวนงานให้ทันสมัย และนำข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์ (Data Analytics) เพื่อวางกลยุทธ์จัดเก็บภาษี (Revenue Collection) รวมถึงนำนวัตกรรม (Innovation) และเทคนิคการบริหารงานยุคใหม่ อาทิ Design Thinking, Agile และ Hackathon มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) ระบบงาน และพัฒนาบุคลากรให้มีคุณธรรม (Value) และมีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
"จากการวางรากฐานดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้การดำเนินงาน และการให้บริการประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก และยังสามารถช่วยให้กรมฯ บรรลุเป้าหมายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ จัดเก็บภาษีได้ตรงเป้า ออกนโยบายภาษีช่วยเหลือประชาชนได้ตรงกลุ่ม และบริการผู้เสียภาษีได้ตรงใจ" อธิบดีกรมสรรพากร ระบุ
นายเอกนิต กล่าวว่า นอกจากกรมสรรพากรจะนำดิจิทัลมาใช้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานแล้ว การสร้างฐานรายได้ใหม่ให้กับประเทศเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริการอิเล็กทรอนิกส์จากแพลตฟอร์มต่างชาติ (VAT for Electronic Service: VES) ที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการในประเทศไทย
โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 65 มีมูลค่าบริการจากต่างชาติสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้ใหม่เข้าประเทศได้ถึงกว่า 4,200 ล้านบาทในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน และยังเป็นการสร้างความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย จากการที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติต้องมาจดทะเบียน และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับผู้ประกอบการไทย
อย่างไรก็ดี การเก็บภาษี e-Service นี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะสามารถนำไปใช้คำนวณเป็นฐานภาษีเงินได้ อันจะเป็นฐานรายได้ใหม่ให้ประเทศไทยในอนาคต โดยขณะนี้ กรมสรรพากรกำลังร่วมกับ 139 ประเทศทั่วโลก เจรจามาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศซึ่งประกอบด้วย 2 เสาหลัก ได้แก่
- เสาที่ 1 (Pillar 1) มาตรการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติต้องเสียภาษีเงินได้ โดยปันส่วนกำไรมาให้กับประเทศผู้ใช้บริการ ถึงแม้จะไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศที่ให้บริการ
- เสาที่ 2 (Pillar 2) มาตรการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติที่หลบเลี่ยงภาษีโดยถ่ายโอนกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ จะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น จนเสียอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำที่ 15% โดยหากการเจรจาต่างๆ นี้สำเร็จลุล่วงได้ตามแผนในปี 66 ไทยจะมีแหล่งรายได้ใหม่จากบริษัทข้ามชาติที่เคยหลบเลี่ยงภาษี
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่เพียงจะพัฒนาระบบและบุคลากรให้มีความพร้อมกับโลกในอนาคต แต่การพัฒนาระบบต่างๆ นี้ กลับส่งผลดีให้กรมสรรพากรได้รับรางวัลมาตลอด 3 ปีอย่างต่อเนื่อง อาทิ รางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน (ประจำปี 63 และ 64) ซึ่งเป็นรางวัลที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ยกย่องเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนสำเร็จเป็นเลิศ แห่งหน่วยงานภาครัฐทั้งปวง รวมทั้งยังได้รางวัลระดับชาติ เช่น รางวัลองค์กรนวัตกรรมดีเด่นแห่งชาติประจำปี 64 และรางวัลจากเวทีอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งสิ้น 29 รางวัล ในช่วงปี 62-64
ทั้งนี้ การยกระดับศักยภาพของกรมสรรพากร ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักที่จัดเก็บรายได้ถึง 65% ของรายได้รัฐบาลทั้งหมด และการสร้างเสถียรภาพทางการคลังของประเทศเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก โดยการที่องค์กรแห่งนี้จะยั่งยืนได้ จะต้องมีกระบวนงานที่คล่องตัว (Agile) ต้องนำกระบวนการออกแบบนวัตกรรม (Design Thinking) มาแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ ของภาครัฐ และสร้างบุคลากรให้มุ่งมั่นพร้อมที่จะเรียนรู้ (Growth Mindset)
"จะเห็นได้ว่าในช่วงสถานการณ์ของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นนั้น ประเทศต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยในการสนับสนุนด้านสาธารณสุขของประเทศ เพื่อดูแลประชาชนในช่วงโควิด ดังนั้น แนวคิดสรรพากรยั่งยืนนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้กรมสรรพากรบรรลุวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรชั้นนำที่จัดเก็บภาษีอย่างโปร่งใสเป็นธรรม ด้วยนวัตกรรม และบุคลากรคุณภาพ เพื่อสร้างเสถียรภาพการคลัง" อธิบดีกรมสรรพากร กล่าว