นักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) และรายงานผลประกอบการรายไตรมาสของวาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ หลังจากข่าวที่ว่าแบร์ สเติร์นส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐ ได้ขายกิจการให้กับเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคนั้น ทำให้ตลาดวอลล์สตรีทผันผวนอย่างหนัก และฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงถ้วนหน้า
โดยในคืนนี้ โกลด์แมน แซคส์ และเลห์แมน บราเธอร์ส จะรายงานผลประกอบการ และในวันพุธที่ 19 มี.ค.จะมีการรายงานผลประกอบการของ มอร์แกน สแตนลีย์
นักลงทุนจับตาดูผลประกอบการของโกลด์แมน แซคส์ชนิดตาไม่กระพริบ หลังจากสำนักข่าวเทเลกราฟของอังกฤษตีข่าวว่า โกลด์แมน แซคส์ อาจต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์เป็นวงเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการปรับลดสินทรัพย์ในวงเงินสูงสุดจนถึงขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมูลค่าหุ้นที่โกลด์แมน แซคส์ ถืออยู่ในบริษัทอินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงค์ ออฟ ไชน่า (ICBC) จำนวน 4.9% นั้น ปรับตัวลดลง
วิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อและการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงของแบร์ สเติร์นส์ จนเป็นเหตุให้แบร์ สเติร์นส์ต้องผ่าทางตันด้วยการขายกิจการให้เจพีมอร์แกนนั้น ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน(discount rate) ลงอีก 0.25% สู่ระดับ 3.25% โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที
ส่วนในกรณีของแบร์ สเติร์นส์นั้น เฟดได้อัดฉีดเม็ดเงินมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าพยุงสถานการณ์การขาดสภาพคล่อง และยังจัดหาเงินทุนพิเศษให้กับเจพีมอร์แกน เพื่อนำไปใช้ซื้อหุ้นแบร์ สเติร์นส์ ในราคา 2 ดอลลาร์/หุ้น คิดเป็นวงเงินรวม 236.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งดีลนี้ถือว่าเจพีมอร์แกนได้ประโยชน์อย่างยิ่งเพราะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกและยังได้ขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นด้วย
สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงานว่า กระแสคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed fund rate) ลงอีกอย่างน้อย 0.50% ในคืนนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--