นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงนโยบาย "ความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้ามิติใหม่ ไทย-ญี่ปุ่น" (High-Level Policy Dialogue Forum on Thailand-Japan's New Dimension of Economic Cooperation)
ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 135 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (กระทรวงเมติ) สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และเจโทร กรุงเทพฯ โดยมีการเสวนาแลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องนโยบายและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกัน ในมิติใหม่ที่สอดรับกับสถานการณ์โลก เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
นายสินิตย์ กล่าวว่า งานสัมมนาครั้งนี้ มีผู้ร่วมเสวนาทั้งจากภาครัฐและเอกชนของไทย และญี่ปุ่นที่มากประสบการณ์ ร่วมนำเสนอแนวทางการสร้างความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในรูปแบบใหม่หลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ การส่งเสริมผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ข้อริเริ่มการลงทุนเอเชีย-ญี่ปุ่นสำหรับอนาคต ซึ่งเป็นนโยบายการลงทุนใหม่ของญี่ปุ่น โดยเน้นการเป็นหุ้นส่วนร่วมสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมของทั้งสองประเทศและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสอดรับกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทย โดยมีเป้าหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมของกลุ่มเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ พลังงานสะอาด สุขภาพและการแพทย์
นอกจากนี้ ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะประโยชน์จากการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเสนอแนวทางการกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในรูปแบบใหม่
"กระทรวงพาณิชย์ เชื่อมั่นว่างานสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยที่จะส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่น และหน่วยงานภาครัฐของไทยที่จะวางกลยุทธ์ขยายการค้าและดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ จากนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้อย่างแน่นอน" นายสินิตย์ กล่าว
ทั้งนี้ ไทยมีความตกลงการค้าเสรีกับญี่ปุ่น ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) และ RCEP ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก โดยในปีที่ผ่านมา ผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง JTEPA และ AJCEP กว่า 80% ของมูลค่าการส่งออก สำหรับสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรแปรรูป อาทิ เนื้อไก่ กุ้งปรุงแต่ง ปลาทะเลปรุงแต่ง และแป้งมันสำปะหลัง
สำหรับความตกลง RCEP จะลดและยกเลิกภาษีเพิ่มเติมจากข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่เดิมแล้ว รวมถึงยังทำให้พิธีการศุลกากรยืดหยุ่นขึ้น และช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไทยและญี่ปุ่นยังมีความร่วมมือด้านการค้าในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ การลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับเมืองโคฟุ จังหวัดยามานาชิ ความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นในการพัฒนาสินค้าเกษตรไทย และการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจผ่านทางออนไลน์
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยยาวนานกว่า 600 ปี ทั้งในระดับรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน โดยเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยกว่า 6,000 บริษัท โดยในปี 64 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย การค้าระหว่างกันมีมูลค่า 60,670.63 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 11.26% ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่นอันดับ 3 มูลค่า 24,985.35 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ส่วนไทยนำเข้าจากญี่ปุ่นอันดับ 2 มีมูลค่า 35,685.28 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญจากญี่ปุ่น อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ