วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานว่า แม้อัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ชะลอลง แต่มีแนวโน้มทะยานขึ้นในเดือนถัดไป โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนเม.ย. อยู่ที่ 4.65%YoY ชะลอลงจากเดือนก่อนที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีที่ 5.73% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อน และราคาสินค้าบางหมวดปรับลดลง อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์จากแป้ง เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า
อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าในหมวดพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อปรับเพิ่ม ได้แก่ ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง (+29.74%) ราคาก๊าซหุงต้มที่มีการทยอยปรับขึ้นหลังสิ้นสุดการตรึงราคา นอกจากนี้ ยังมีราคาสินค้าในหมวดอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ น้ำมันพืช อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน ตามต้นทุนการผลิตและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อน ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ที่ 2.0% สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 4.71% และ 1.58% ตามลำดับ
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อในเดือนพ.ค. มีแนวโน้มจะกลับมาเร่งขึ้น ตามการปรับขึ้นของราคาสินค้าในหมวดพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากมีการยกเลิกตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร และให้เริ่มทยอยปรับราคาขึ้นแบบขั้นบันไดตั้งแต่ 32 บาทต่อลิตร จนอาจถึงกรอบเพดานใหม่ที่ 35 บาทต่อลิตร
ดังนั้น จึงอาจกระทบต่อต้นทุนการขนส่งและการผลิตสินค้า รวมถึงยังมีการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม และการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) รอบเดือนพ.ค.-ส.ค. รวมถึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ตามต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบ นอกจากนี้ ผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยกดดันอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้อาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.8%
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราเงินเฟ้อสูงเกินกรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง (1-3%) วิจัยกรุงศรี คงคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะตรึงดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมที่ 0.50% ตลอดจนถึงสิ้นปี จากการให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ภาวะต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจ ขณะที่ภาคบริการทยอยปรับดีขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนเม.ย. อยู่ที่ 48.2 ลดลงจาก 50.7 ในเดือนมี.ค. โดยองค์ประกอบด้านต้นทุนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นปรับลดลง โดยเฉพาะในภาคการผลิตและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่ผันผวนสูง จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ผลักดันให้ราคาสินค้าส่วนหนึ่งปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มาตรการพยุงกำลังซื้อในประเทศที่สิ้นสุดลงส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อ การผลิต และผลประกอบการปรับลดลง
สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่แรงขึ้น และมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดในจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันภาวะชะงักงันของห่วงโซ่การผลิตทั่วโลกรุนแรงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยมากขึ้นในระยะต่อไป
วิจัยกรุงศรี ระบุว่า ในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา การผลิตในบางภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชะลอลง เนื่องจากประสบกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิต อาทิ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า หมวดชิ้นส่วนและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกันกลุ่มอสังหาฯ เผชิญกับภาวะต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาคบริการมีแนวโน้มทยอยปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะหลังจากมีการยกเลิกมาตรการ Test&Go จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 1.9 หมื่นคน (ช่วงวันที่ 1-5 พ.ค. 65) เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย. ซึ่งสูงสุดที่ระดับ 1.2-1.3 หมื่นคน นอกจากนี้ ล่าสุดรัฐฯ เตรียมขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง