นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีนกล่าวว่า จีนจำเป็นต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อ หากต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
"ราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่สุดที่เรากำลังประสบอยู่ และเงินเฟ้อถือเป็นปัญหาสำคัญลำดับแรกของจีน เนื่องจากเรามองว่าภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเพียงแค่ปัญหาระยะสั้น แต่จะยังคงกินเวลาต่อเนื่องไปอีก 5 ปีข้างหน้า" เหวินกล่าวในการแถลงข่าวในการปิดประชุมสภาประจำปี
นอกจากนี้ เหวินแนะว่าจีนจำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่างกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้เหมาะสม
สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า แม้จีนจะใช้มาตรการคุมเข้มทางการเงิน รวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 6 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว แต่เงินเฟ้อยังคงพุ่งทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีในปีนี้ โดยในเดือนม.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนพุ่งขึ้น 7.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี และขยายตัวต่อเนื่องแตะที่ 8.7% ในเดือนก.พ. ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนพ.ค.2539
ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวได้สร้างความกังวลต่อผลกระทบที่ร้ายแรงจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นรวมถึงเสถียรภาพทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราเงินเฟ้อที่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อประชาชนระดับรากหญ้าในท้องถิ่นชนบท
ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.8% ในปีนี้ แต่นายเหวินกล่าวว่า ยังเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่มีแผนที่จะปรับประมาณการตลอดทั้งปี 2551 โดยเสริมว่าจีนเชื่อมั่นว่าทางการจะสามารถควบคุมราคาสินค้าในระดับที่กำหนดไว้ได้
นอกจากนี้ จีนยังตั้งเป้าที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้น 50 ล้านตำแหน่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ควบคู่ไปกับการปรับลดการขยายตัวของราคาสินค้า และจะเสริมสร้างการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นใจว่าการรายได้ในชนบทจะเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
"จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากร 1.3 พันล้านคน ดังนั้น จีนต้องรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งไว้ให้ได้เพื่อสกัดกั้นแรงกดดันในตลาดแรงงาน" นายเหวิน เจียเป่ากล่าวทิ้งท้าย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--