นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้เข้าร่วมการประชุม รมว.คลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers? and Central Bank Governors? Meeting: AFMGM+3) ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี รมว.คลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานร่วม และมี รมว.คลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ของประเทศสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่นสาธารณรัฐเกาหลี และผู้บริหารระดับสูงของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) เข้าร่วมการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้หารือประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจและความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 สรุปได้ดังนี้
1. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ที่ประชุมฯ ได้รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค จากผู้แทน IMF ADB และ AMRO ซึ่งต่างเห็นพ้องว่าเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน+3 ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการที่ตรงเป้าหมาย เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และนโยบายการสนับสนุนการฟื้นตัว รวมทั้งการเพิ่มของอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในภูมิภาค
โดย IMF คาดการณ์ว่าในปี 2565 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 3.6%ในขณะที่เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย จะขยายตัวที่ 4.9% และคาดว่าในปี 2566 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย จะขยายตัวที่ 3.6% และ 5.1% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 องค์กร ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 ยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะจากความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐรัสเซีย และยูเครน การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยเหตุนี้ อาเซียน+3 ต้องมีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมการดำเนินโยบายการคลัง เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะปราง รวมทั้งความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนในการระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคอาเซียน+3 (AMRO) ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามภารกิจหลักของ AMRO ได้แก่ การเฝ้าระวังเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 การสนับสนุนการดำเนินการภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) และการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการกับประเทศสมาชิกอาเซียน+3 โดยเร่งรัดให้ AMRO จัดทำทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Direction) ฉบับใหม่ เพื่อมุ่งยกระดับการดำเนินงานของ AMRO ในการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษานโยบายที่เชื่อถือได้และการสนับสนุนกลไก CMIM ในอนาคต รวมทั้งได้รับทราบการแต่งตั้งผู้อำนวยการAMRO คนใหม่คือ ดร. Li Kou Qing จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จะเข้ารับตำแหน่งแทนผู้อำนวยการAMRO คนปัจจุบัน (นาย Toshinori Doi) ที่กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565
3. มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (CMIM) สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประชุมฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ CMIM ให้เป็นกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งที่ประชุมฯ ได้รับทราบว่าประเทศสมาชิกสามารถหาข้อสรุปร่วมกันถึงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงใหม่สำหรับ CMIM และกระบวนการการนำเงินสกุลท้องถิ่นมาสมทบใน CMIM และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 พิจารณากำหนดทิศทางการดำเนินการ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ CMIM ในอนาคตต่อไป
4. มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าของ ABMI ตามแผนการดำเนินงานระยะกลางปี 2562-2565 ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน การสร้างระบบนิเวศสำหรับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และการส่งเสริมการสร้างมาตรฐาน และการประสานกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับตลาดตราสารหนี้ เพื่อสนับสนุนการออกตราสารหนี้เงินสกุลท้องถิ่นของอาเซียน+3 ซึ่งรวมถึงตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน
5. ทิศทางความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 ในอนาคต ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการที่สำคัญความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 ในอนาคต ได้แก่ การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนากลไก เพื่อรองรับปัญหาด้านมหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้างการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงิน เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบายเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เรื่อง "เทคโนโลยีทางด้านการเงิน (Financial Digitalization)" และ "การเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (Transition Finance)" เป็นหัวข้อความร่วมมือทางการเงินใหม่ของอาเซียน+3
ในการนี้ รมว.คลัง ได้ใช้โอกาสนี้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมและยั่งยืน และกล่าวสนับสนุนการพัฒนาพันธบัตรของภูมิภาคอาเซียน+3 โดยการส่งเสริมการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน เพื่อเป็นการระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสนับสนุนความคิดริเริ่มในการหารือเรื่องเทคโนโลยีทางด้านการเงิน และการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน เนื่องจากเห็นว่าอาเซียน+3 สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงินในการพัฒนาประสิทธิภาพของกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาคได้ ในขณะที่การเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน จะสนับสนุนให้สมาชิกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิได้
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าว ยังสอดคล้องกับประเด็นสำคัญ (Priorities) ของกรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers? Process) ประจำปี 2565 ในวาระที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งเจ้าภาพเอเปคด้วย
ทั้งนี้ การประชุม AFMGM+3 ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเงินระหว่างกัน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค และสนับสนุนการฟื้นตัวของภูมิภาคจากโควิด-19 อีกทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาความร่วมมือทางการเงินของอาเซียน+3 อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพของ CMIM ซึ่งเป็นกลไกความช่วยเหลือทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาค การส่งเสริมการพัฒนาตลาดพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่น ตลอดจนการส่งเสริมมาตรการริเริ่มใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ในการสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการเชื่อมโยงทางดิจิทัล เพื่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สมดุลและยั่งยืน