นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2564 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการขีดชื่อนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ออกจากทะเบียน เนื่องจากไม่นำส่งงบการเงิน ติดต่อกัน 3 ปี (ปีงบการเงิน 2560-2562) จำนวน 4,441 ราย และไม่จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีภายใน 3 ปี นับแต่วันรับจดทะเบียนเลิก จำนวน 4,392 ราย รวมทั้งสิ้น 8,833 ราย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลนิติบุคคลให้เป็นปัจจุบัน สร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจที่จะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจ และป้องกันความเสียหายจากกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ ส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค ได้ประสานให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดดำเนินการในแนวทางเดียวกัน
สำหรับการขีดชื่อนิติบุคคลออกจากทะเบียน มีหลักเกณฑ์การพิจารณาจากมูลเหตุหรือข้อสันนิษฐาน ดังนี้
1) ไม่ส่งงบการเงินนับแต่ปีปัจจุบันย้อนหลังไป 3 ปีติดต่อกัน
2) จดทะเบียนเลิกแล้ว แต่ไม่มีตัวผู้ชำระบัญชีทำการอยู่ หรือไม่ได้จัดทำรายงานการชำระบัญชี หรือไม่ได้ยื่นจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 3 ปี นับแต่วันรับจดทะเบียนเลิก ซึ่งเป็นเหตุให้เชื่อว่านิติบุคคลไม่ได้ประกอบการงานแล้ว
นายสินิตย์ กล่าวว่า หากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ขีดชื่อออกจากทะเบียน ชื่อของนิติบุคคลนั้นจะคงค้างอยู่ในฐานข้อมูลทะเบียนของกรมฯ ทำให้ไม่สอดคล้องกับจำนวนนิติบุคคลที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลต่อประชาชน ผู้ร่วมค้า หรือผู้ร่วมลงทุนอาจเข้าใจผิดในสถานะของนิติบุคคลเหล่านั้นได้ และก่อให้เกิดความเสียหายจากการทุจริตหลอกลวงตามมา
ทั้งนี้ เมื่อนิติบุคคลมี สถานะร้าง จะสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคล แต่อาจกลับคืนสู่ทะเบียนได้ โดยการร้องขอต่อศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน
"การปรับปรุงฐานข้อมูลสถานะของนิติบุคคล ถือเป็นภารกิจสำคัญที่กรมฯ ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลนิติบุคคล อันจะส่งผลต่อการวิเคราะห์การเจริญเติบโตในภาคธุรกิจ และตัดโอกาสการถูกหลอกลวงของประชาชน ดังนั้น นิติบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ซึ่งการจัดทำงบการเงินประจำปีและ ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าถือเป็นหน้าที่สำคัญของนิติบุคคล รวมไปถึงกรณีที่นิติบุคคลจะยุติธุรกิจลงแต่ก็ยังคงมีหน้าที่ในการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีให้เสร็จสิ้น" รมช.พาณิชย์ กล่าว