นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวเสวนาหัวข้อ "มองเศรษฐกิจโลกสะท้อนเศรษฐกิจไทย" ในงาน "ถามมา...ตอบไป เพื่อประเทศที่ดีกว่า" (Better Thailand open Dialogue) ว่า หากย้อนไปดูสถานการณ์การลงทุนในประเทศช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 53-62) ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 จะพบว่าในช่วง 5 ปีแรก (ปี 53-57) ไม่มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้นเลย รายได้เข้าประเทศจึงเป็นผลจากการลงทุนเดิม แต่ช่วง 5 ปีต่อมา (ปี 58-62) รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การหารายได้เข้าประเทศนั้นเป็นการพยายามรักษาฐานรายได้เดิมที่มาจากการส่งออก ขณะเดียวกันก็เน้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศส่งผลให้อัตราหนี้ครัวเรือนเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตรา 15% ซึ่งรัฐบาลพยายามควบคุมไม่ให้สูงมากเกินไป
ภาวะการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลมีเพียงการใช้หน้ากากและกำหนดมาตรการเว้นระยะห่าง แต่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ดีจนกระทั่งปลายปี 63 มาพบการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทั่วโลกขาดแคลนวัคซีน แต่เราสามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ในวันที่ 1 พ.ย.64 ซึ่งนับถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแล้ว 1.2 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 65 เกิดวิกฤตซ้ำเติมจากกรณีการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง ทำให้ราคาสินค้าและพลังงานแพงสูงสุดในรอบ 10 ปี
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาความสามัคคีภายในชาติที่ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาทำให้ประเทศชาติสามารถผ่านพ้นวิกฤตมาได้จนถึงทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศยังมีเสถียรภาพทางการเงินการคลัง ระดับความเชื่อมั่นยังคงที่ตามเดิม ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของประเทศไทย แม้จะมีเสียงบ่นมากมายแต่สุดท้ายทุกคนก็ร่วมมือกัน ตอนนี้รอเพียงให้สามารถเปิดประเทศได้อย่างเต็มที่ และคิดว่าทุกคนจะสามารถปรับตัวได้
"เชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้ยังเติบโตไปได้ ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกรัฐบาลก็แก้ปัญหากันต่อไป ความร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหาของคนไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้เหมือนที่ผ่านมา" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว