คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐกล่าวว่า ก.ล.ต.อาจดำเนินคดีตามกฏหมายต่อวาณิชธนกิจแบร์ สเติร์นส์ กรณีที่แบร์ สเติร์นส์ บิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะทางการเงินก่อนที่จะตัดสินใจขายกิจการให้เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค
ทั้งนี้ ก.ล.ต.สหรัฐกล่าวว่า คณะทนายความของก.ล.ต.จะพิจารณาปัจจัยที่ทำให้แบร์ สเติร์นส์ ถูกเทคโอเวอร์ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของก.ล.ต.ได้ส่งหนังสือถึงเจพีมอร์แกนเพื่อชี้แจงว่า ก.ล.ต.จะเข้าตรวจสอบดีลครั้งนี้ รวมทั้งจะตรวจสอบรายงานสภาพคล่องและผลประกอบการที่แท้จริงของแบร์ สเติร์นส์ ก่อนที่จะประกาศขายกิจการให้เจพีมอร์แกน
อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกนยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆจนถึงขณะนี้
สำหรับความเคลื่อนไหวของแบร์ สเติร์นส์ตั้งแต่ต้นปี 2551 ก่อนที่จะขายกิจการให้เจพีมอร์แกนนั้น เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา มีข่าวลือแพร่สะพัดในตลาดวอลล์สตรีทว่า แบร์ สเติร์นส์ อาจมีเงินสดไม่มากพอที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่แบร์ สเติร์นส์ออกมาสยบข่าวลือดังกล่าว โดยระบุว่า "ข่าวที่ว่าเกิดปัญหาสภาพคล่องในแบร์ สเติร์นส์ ไม่มีมูลความจริง"
ต่อมาวันที่ 12 มี.ค. นายอลัน ชวาร์ทซ์ ซีอีโอของแบร์ สเติร์นส์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า แบร์ สเติร์นส์มีสภาพคล่องเพียงพอ และมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ในไตรมาสแรกของปีนี้
แต่จากนั้นวันที่ 14 มี.ค. แบร์ สเติร์นส์ ออกมายอมรับว่า บริษัทขอรับวงเงินกู้ฉุกเฉินจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เนื่องจากขาดสภาพคล่องอย่างหนัก
ในที่สุดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 มี.ค. แบร์ สเติร์นส์ ตัดสินใจขายกิจการทั้งหมดให้เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ในราคาหุ้นละ 2 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นวงเงินรวม 236.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วตลาดวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลก สำนักข่าวเอพีรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--