นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ระบุว่า หากสิ้นปีงบประมาณ 2565 ทุกหน่วยงานสามารถกู้เงินได้ตามแผน คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ จะอยู่ที่ 61.46% ต่อจีดีพี ซึ่งลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 62.76% ต่อจีดีพี เนื่องจากมีการปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงมา ซึ่งเป็นไปได้ที่หนี้จะลดลงกว่าคาดการณ์ เพราะหน่วยงานอาจจะกู้เงินไม่ได้ตามแผน
ส่วนปีงบประมาณ 2566 คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ระดับ 62.47% ค่อย ๆ ทยอยปรับขึ้น ไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบเร่งตัว เนื่องจากไม่มีกฎหมายกู้เงินพิเศษใหญ่ ๆ ออกมาแล้ว
"ยืนยันว่ารัฐบาลยังมีช่องว่างในการกู้เงินได้ และ สบน. ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เสมอ แต่การกู้เงินโดยการออกกฎหมายพิเศษนั้น หากจะดำเนินการถือเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาในหลายมิติ ดูทั้งความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต และที่สำคัญที่สุด คือ เหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วน ว่าจะเอาเงินไปใช้ทำอะไร โดย พ.ร.ก.กู้เงินพิเศษนั้น จะต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะเลือกดำเนินการ ต้องพิจารณาอย่างแน่ใจแล้วว่าเงินทุกแหล่งที่มีไม่เพียงพอแล้วจึงจะสามารถออกกฎหมายพิเศษได้ ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศไทยในช่วง 5 ปีจากนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ตามนโยบายของคลัง ต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประเทศในอนาคต" ผู้อำนวยการ สบน.กล่าว
ส่วนการกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น นางแพตริเซีย กล่าวว่า สบน.ไม่มีหน้าที่ หรือบทบาทในการไปกู้เงินให้กับกองทุนน้ำมันฯ ที่ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการขออนุมัติกู้ยืมเงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ วงเงินรวม 3 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินการกู้เงินเองทั้งสิ้น
ทั้งนี้ หน้าที่เดียวของ สบน. เกี่ยวกับการกู้เงินของกองทุนน้ำมันฯ คือ การบรรจุแผนการกู้เงินใส่ในแผนบริหารหนี้สาธารณะ ปีงบประมาณ 2565 ซึ่งได้มีการบรรจุลงไปในแผนเรียบร้อยแล้ว
"หากกองทุนน้ำมันฯ ยังไม่สามารถกู้เงินได้ ก็ยังมีช่องทางที่กฎหมายกำหนดให้สามารถทำได้ คือ รัฐบาลจัดงบประมาณชดเชย โดยสำนักงบประมาณ ซึ่งในส่วนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าสำนักงบประมาณวางแผนจะชดเชยอย่างไร" นางแพตริเซีย กล่าว