นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวันเดือนม.ค.-เม.ย.65 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.2% เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
โดยการใช้กลุ่มดีเซลเพิ่มขึ้น 15.7% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์(Jet A1) เพิ่มขึ้น 48.8% น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น 17.2% LPG เพิ่มขึ้น 9.3% น้ำมันก๊าดเพิ่มขึ้น 4.0% ขณะที่การใช้ NGV ทรงตัวในระดับเดิม อย่างไรก็ตาม การใช้กลุ่มเบนซินลดลง 3.9% เนื่องจากราคาที่อยู่ในระดับสูง
การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเดือนม.ค.-เม.ย.65 เฉลี่ยอยู่ที่ 77.28 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 15.7%) สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 การใช้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66.65 ล้านลิตร/วัน (เพิ่มขึ้น 68.0%) น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ซึ่งเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.62 ปริมาณการใช้ลดลงมาอยู่ที่ 3.39 ล้านลิตร/วัน และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีปริมาณการใช้ 0.21 ล้านลิตร/วัน การใช้ที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และมาตรการช่วยเหลือโดยตรึงราคาให้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร
การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 7.22 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 48.8%) เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการการบินและการเดินทางเข้า-ออกประเทศ โดยมาตรการ Test & Go ได้เปิดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.65 หลังจากระงับตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.64 โดยกำหนดให้ตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR จำนวน 2 ครั้ง และต้องมีหลักฐานการจองโรงแรมที่พัก นอกจากนี้ มาตรการ Test & Go เวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งเริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 ได้เปลี่ยนการตรวจหาเชื้อจากวิธี RT-PCR เป็น ATK และไม่ต้องจองโรงแรมในการตรวจครั้งที่ 2 พร้อมทั้งลดวงเงินประกันเป็นไม่ต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เพื่อหนุนการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เห็นชอบยกเลิกการตรวจ RT-PCR สำหรับผู้เดินทางเข้าไทยที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันสำหรับผู้เดินทางเป็น 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ศบค. ยังเห็นชอบปรับระดับพื้นที่ตามสถานการณ์ การระบาด เหลือพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 65 จังหวัด และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 12 จังหวัด โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.65
การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.77 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 9.3%) เนื่องจากการใช้ในภาคปิโตรเคมีที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 7.93 ล้านกก./วัน (เพิ่มขึ้น 16.3%) ภาคขนส่งที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.01 ล้านกก./วัน (เพิ่มขึ้น 9.8% และภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.02 ล้านกก./วัน (เพิ่มขึ้น 9.1%) สำหรับการใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.80 ล้านกก./วัน (เพิ่มขึ้น 1.0%)
การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 3.29 ล้านกก./วัน ทรงตัวอยู่ในระดับเดิม (เพิ่มขึ้น 0.01%) โดย ปตท. ขยายระยะเวลาการคงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 15.59 บาท/กิโลกรัม และราคาขายปลีก NGV สำหรับรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเคยได้รับสิทธิผ่านมาตรการ NGV เพื่อลมหายใจเดียวกันที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงวันที่ 15 มิ.ย.65 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน และการแพร่ระบาดของโควิด-19
การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเดือนม.ค.-เม.ย.65 เฉลี่ยอยู่ที่ 29.60 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ลดลง 3.9%) เนื่องจากราคาที่อยู่ในระดับสูง การใช้แก๊สโซฮอล์ 91 แก๊สโซฮอล์ 95 แก๊สโซฮอล์ อี20 และเบนซินลดลงมาอยู่ที่ 6.93 ล้านลิตร/วัน 15.37 ล้านลิตร/วัน 5.74 ล้านลิตร/วัน และ 0.57 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ ขณะที่การใช้แก๊สโซฮอล์ อี85 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.99 ล้านลิตร/วัน
ขณะที่การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนม.ค.-เม.ย.65 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,018,628 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 11.4%) โดยการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 951,689 บาร์เรล/วัน (เพิ่มขึ้น 9.1%) สอดคล้องกับความต้องการใช้ในประเทศที่สูงขึ้น โดยมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 96,646 ล้านบาท/เดือน (เพิ่มขึ้น 96.5%) มูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นนี้เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาของปี 65 สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66,938 บาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 5,801 ล้านบาท/เดือน
การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเดือนม.ค.-เม.ย.65 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาน้ำมันอากาศยาน น้ำมันก๊าด และ LPG โดยปริมาณส่งออกลดลงมาอยู่ที่ 155,522 บาร์เรล/วัน (ลดลง 8.6%) คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 17,464 ล้านบาท/เดือน (เพิ่มขึ้น 70.2%)