นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ปรับขึ้นคาดการณ์การส่งออกไทยทั้งปีเป็นโต 5-8% จากเดิมอยู่ที่ 5%
โดยช่วงเวลาที่เหลืออีก 8 เดือน (พ.ค.-ธ.ค.65) หากจะให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ 5% ต้องมีการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 23,446 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้การส่งออกมีมูลค่ารวมทั้งปี 284,797 ล้านดอลลาร์ แต่หากต้องการให้ขยายตัวได้ 8% ต้องผลักดันให้มีการส่งออกให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 24,802 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งปีเพิ่มเป็น 292,934 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันผลักดันการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมสมองจากทุกภาคส่วนในวันที่ 23 มิ.ย.65 หลังจากนั้นเดือน ก.ค.65 จะจัดทำเป็นสมุดปกขาวเพื่อส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน
"ผู้ส่งออกยังเห็นโอกาสในวิกฤต ทั้งวิกฤตอาหารและวิกฤตพลังงาน ซึ่งเราต้องจัดเตรียมความพร้อมเรื่องข้อมูลให้ได้มากที่สุดแล้วนำมาวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจให้ถูกจังหวะเวลา ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาเก็บไว้ในกระเป๋าแน่ๆ แล้ว 5%" นายชัยชาญ กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 65 ได้แก่
1) ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูงจากสถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้า และต้นทุนการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก
2) สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อโลกที่เพิ่มขึ้นเป็น 9.2% (YoY) ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคทั่วโลกหดตัวลง
3) สถานการณ์ระวางเรือยังคงตึงตัวในหลายเส้นทางและค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลยังทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากเรือแม่ยังไม่สามารถเข้าเทียบท่าในไทยได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่แม้ค่าระวางเริ่มมีการปรับลดลงในหลายเส้นทาง แต่พบว่าค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ยังคงมีการปรับขึ้นและผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
4) ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน แป้งสาลี อาหารสัตว์ ปุ๋ย ส่งผลให้หลายประเทศเริ่มออกมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร
5) การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำควรพิจารณาให้เหมาะสมตามความสามารถ
สำหรับข้อเสนอแนะของ สรท.ที่สำคัญประกอบด้วย
1) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้อยู่ไม่ให้แข็งค่าเกินกว่า 33.50-34.50 บาท/ดอลลาร์ เพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับต้นทุนในส่วนอื่นที่ผันผวนสูง และขอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อประคองให้การฟื้นตัวภาคธุรกิจยังคงดำเนินการได้
2) รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศให้อยู่ระดับที่เหมาะสมผ่านเครื่องมือด้านการลดภาษีสรรพาสามิตและเงินกองทุนน้ำมัน หรือกลไกในการควบคุมต้นทุนการนำเข้าไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากจนเกินไป
3) การควบคุมราคาสินค้าในประเทศจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับต้นทุนผู้ประกอบการ เพื่อมิให้เป็นภาระต้นทุนของผู้ประกอบการมากเกินไป ขอให้พิจารณาลดต้นทุนสินค้าขาเข้า ลดเงื่อนไขและขั้นตอนในกลุ่มสินค้าที่ขาดแคลนและจำเป็น
4) การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการติดตามแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน