น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธานอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่า 209,478 ล้านบาท ได้แก่ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ของบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด มูลค่า 36,100 ล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ของบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด มูลค่า 162,318 ล้านบาท กิจการผลิตเส้นใยและกิจการผลิตผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษของกลุ่มบริษัท คิงบอร์ด โฮลดิ้งส์ มูลค่ารวม 8,230 ล้านบาท และการขยายกิจการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น ของบริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด มูลค่า 2,830 ล้านบาท "โครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนครั้งนี้ เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ สนับสนุนให้เกิดการลงทุนสาธารณูปโภคที่สำคัญในพื้นที่อีอีซี รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และโครงการผลิตวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก และมีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป" น.ส.ดวงใจ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ยานพาหนะไฟฟ้า (EV) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ (BATTERY CELL) ระดับโมดูล (BATTERY MODULE) และกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง (HIGH ENERGY DENSITY BATTERY) โดยเพิ่มระยะเวลาการให้สิทธิและประโยชน์ลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ในกรณีที่ผลิตจำหน่ายในประเทศ จาก 2 ปี เป็น 5 ปี
ทั้งนี้ กรณีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมและได้รับอนุมัติไปแล้ว สามารถแก้ไขโครงการเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ใหม่นี้ได้เช่นกัน โดยปัจจุบัน มีโครงการได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในกิจการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า จำนวน 16 โครงการจาก 10 บริษัท รวมเงินลงทุน 4,820 ล้านบาท และมีโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง (HIGH ENERGY DENSITY BATTERY) รวม 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 6,746.1 ล้านบาท
พร้อมกันนั้นที่ประชุมยังได้เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนกิจการนิคมหรือเขตอุสาหกรรมอัจฉริยะ โดยต้องจัดให้มีบริการระบบอัจฉริยะ 5 ด้าน ได้แก่ Smart Facilities, Smart IT, Smart Energy, Smart Economy และบริการระบบอัจฉริยะด้านอื่นๆ อย่างน้อยอีก 1 ใน 3 ด้าน ดังนี้ Smart Good Corporate Governance, Smart Living และ Smart Workforce พร้อมทั้งยกเลิกเงื่อนไขห้ามตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ
สำหรับโครงการที่ได้รับการส่งเสริมอยู่เดิม ทั้งที่สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้ยังไม่สิ้นสุดและสิ้นสุดแล้ว และโครงการที่ไม่เคยได้รับการส่งเสริม ก็สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหรือขอรับการส่งเสริมเพื่อยกระดับเป็นนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะได้เช่นกัน
รวมทั้งเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการพัฒนาระบบอัจฉริยะสำหรับนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เพื่อช่วยยกระดับการพัฒนานิคมหรือเขตอุตสาหกรรม ไปสู่การเป็นนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากตั้งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติม
น.ส.ดวงใจ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติและอำนวยความสะดวกในการประกอบกิจการในประเทศไทย บีโอไอได้กำหนดให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยถือครองที่ดินเป็นที่ตั้งสำนักงานของกิจการได้ไม่เกิน 5 ไร่ ที่ดินเป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้บริหาร ผู้ชำนาญการต่างชาติ ได้ไม่เกิน 10 ไร่ และที่ดินเป็นที่พักอาศัยของคนงานได้ไม่เกิน 20 ไร่ หากหมดสภาพการเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องจำหน่ายหรือโอนที่ดินภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ให้สำนักงานออกประกาศหลักเกณฑ์เพิ่มเติมตามความเหมาะสม