ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ทิศทางคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อสกัดแรงกดดันเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางชั้นนำอื่นๆ ในฝั่งตะวันตกและเอเชีย (ยกเว้น จีนและญี่ปุ่น) น่าจะมีจังหวะที่สอดคล้องกันมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
โดยธนาคารกลางที่มีแนวโน้มเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามมาในช่วงไตรมาสที่ 3/65 ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอินโดนีเซีย รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หลังจากที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2565 สะท้อนว่า เสียงข้างน้อยของสมาชิก กนง. (3 ใน 7 ท่าน) มองว่าควรมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวและความเสี่ยงเงินเฟ้อชัดเจนขึ้น
จากสัญญาณดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การประชุมกนง. วันที่ 10 ส.ค. 2565 นี้จะเป็นจุดเริ่มของวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในไทยและมีความเป็นไปได้ที่กนง.จะพิจารณาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในรอบการประชุมที่เหลือของปีนี้และปีหน้า เนื่องจากแม้จะมีการคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยน่าจะแตะจุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3/65 แต่ก็จะยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบ 1-3% ซึ่งเป็นเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของไทย
ต้นทุนทางการเงินของไทยมีแนวโน้มทรงตัวสูง หากประเมินจากสถานการณ์ตลาดพันธบัตรไทยนับตั้งแต่ต้นปี 65 แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะยืนอยู่ที่ 0.50% ตามเดิม แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ช่วงอายุ 3 ปีขึ้นไปได้ทยอยปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 100 basis points หรือกว่า 1.00% ตามการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และปริมาณพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจดูเหมือนกับว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในระดับปัจจุบันได้ซึมซับความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไปแล้วบางส่วน
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า อาจเห็นการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในบางช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วงอายุต่ำกว่า 2 ปี เพิ่มเติมได้อีกเพื่อตอบรับทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดยคาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปีจะขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 1.80% ในช่วงสิ้นปี 2565 จากระดับ 1.62% ณ วันที่ 10 มิ.ย. 65
มูลค่าการออกหุ้นกู้เอกชนในปี 65 มีแนวโน้มขยับขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจเร่งออกหุ้นกู้ โดยเฉพาะหุ้นกู้ระยะยาวเพื่อล็อกต้นทุนรับดอกเบี้ยขาขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ามูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวของภาคเอกชนในปี 65 อยู่ที่ประมาณ 1.10-1.20 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นยอดการออกหุ้นกู้ที่สูงกว่าระดับ 1 ล้านล้านบาทติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากที่มีมูลค่าการออกทั่งหมด 1.02 ล้านล้านบาทในปี 64
แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะขยับสูงขึ้น แต่ Credit Spread ของหุ้นกู้เอกชน (หรือส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากพันธบัตรรัฐบาล) ที่ทยอยปรับตัวลงมาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนได้บางส่วน โดยหากเทียบกับสิ้นปี 2564 พบว่า Credit Spread ของหุ้นกู้อายุ 3-5 ปีอันดับเครดิต BBB และ BBB+ ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 40-60 basis points
ท่ามกลางแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว Credit Spread ของหุ้นกู้ที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยของไทยที่กลับเป็นทิศทางขาขึ้น น่าจะเอื้อให้บริษัทเอกชนเข้ามาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ทั้งเพื่อทดแทนรุ่นเก่าที่หมดอายุแล้วและเพื่อการลงทุนขยายกิจการ ซึ่งทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวในปี 65 จะอยู่ที่กรอบประมาณ 1.10-1.20 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นยอดการออกหุ้นกู้ที่สูงกว่าระดับ 1 ล้านล้านบาทติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากที่มีมูลค่าการออกทั้งหมด 1.02 ล้านล้านบาทในปี 64
ประเด็นที่ต้องติดตามในช่วงหลังจากนี้คือ หุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวที่กำลังจะทยอยครบกำหนดอีกประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปี 65 ไปจนถึงปี 67 แบ่งเป็น ประมาณ 3.2 แสนล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 65 และอีกประมาณ 6.2 แสนล้านบาท และ 7.1 แสนล้านบาทในปี 66 และ 67 ตามลำดับ
โดยกลุ่มธุรกิจที่ควรจะต้องเตรียมวางแผนรับมือต้นทุนทางการเงินในช่วง 1-2 ปีข้างหน้ารับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งจะทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ที่จะปรับสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม ประกอบด้วย บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ไฟแนนซ์ (อาทิ บริษัทลีสซิ่งและกลุ่มนอนแบงก์) พลังงาน ไอซีที และการพาณิชย์ ตามลำดับ