พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน ทั้งมาตรการใหม่และขยายมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้ อาทิ ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 15.59 บาท/กก., การคงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้กับผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ที่เข้าร่วมโครงการ ที่ 13.62 บาท/กก. ต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ถึงวันที่ 15 ก.ย. 65, การกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG 408 บาท ต่อถัง 15 กก. เป็นเวลา 3 เดือนตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.65 และขยายเวลาช่วยเหลือส่วนลดราคาก๊าซ LPG แก่ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เกิน 100 บาท/ราย/เดือน ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. 65
นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3 เดือน ลดราคาน้ำมันดีเซล 50% ในส่วนราคาขายสูงกว่า 35 บาท/ลิตร ออกไปอีก 3 เดือน และคงค่าการตลาดน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร
ขณะเดียวกันขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมัน นำส่งกำไรจากค่าการกลั่นส่วนหนึ่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดภาระราคาค่าน้ำมันให้กับประชาชน ทั้งดีเซลและเบนซิน ในช่วง 3 เดือน ก.ค.-ก.ย.65 ซึ่งต้องขอบคุณสถานประกอบการที่ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้
นอกจากนี้ เห็นชอบมาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยให้บริษัทเอกชนที่เป็นนิติบุคคล จัดงานสัมมนา รวมถึงงานอีเวนท์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ โดยในเมืองหลัก 1.5 เท่า และจังหวัดเมืองรอง 2 เท่า เป็นระยะเวลา 6 เดือน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอความร่วมมือประชาชนร่วมประหยัดพลังงาน รวมถึงภาคอุตสาหกรรม และการขนส่งทั้งการเปิด-ปิดไฟ ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เน้นการประชุมออนไลน์ ขณะที่ภาครัฐกำหนดให้ลดการใช้พลังงานลง 20%
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี คาดว่า สถานการณ์ด้านพลังงานจะไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้ โดยได้ให้ประชุมหารือเตรียมการรับตามสมมติฐาน ในกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อออกไป ทั้งมิติพลังงานและอาหารที่ต้องวางแผนระยะยาว
พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะหาแนวทางช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยบนพื้นฐานวินัยการเงินการคลังที่มีความสมดุล ที่จะไม่ให้เกิดภาระในอนาคตมากเกินไป
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันและราคาสินค้าในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าภายในประเทศมีแนวโน้มที่สูงต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการโดยตรง ครม.จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจจากสถานการณ์ราคาพลังงาน รวมทั้งมีมาตรการภาษีเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ดังนี้
1.มาตรการด้านพลังงาน
1.1 ขยายมาตรการที่จะสิ้นสุดเดือน มิ.ย. 65 ขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ก.ค.-ก.ย. 65 ได้แก่ ทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เดือนละ 15 บาท/ถัง, ขยายระยะเวลาส่วนลดก๊าซ LPG แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่เกิน 100 บาท/คน, ส่วนลดก๊าซ LPG สำหรับหาบเร่เผงลอย ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/เดือน, ตรึงราคาก๊าซ NGV ที่ 15.59 บาท/กก. สำหรับ แท็กซี่ในโครงการ "ลมหายใจเดียวกัน" ซื้อในราคา 13.62 บาท/กก. และตรึงราคาน้ำมันดีเซล กรณีที่ราคาเกิน 35บาท/ลิตร โดยรัฐอุดหนุนส่วนเพิ่มในอัตรา 50%
1.2 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ของกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ B7 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา 5-10% และ B20 รวมทั้งขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันคงค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว ไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร
1.3 มาตรการขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ นำส่งกำไรส่วนหนึ่งจากค่าการกลั่นน้ำมันดีเซล และเบนซินเข้ากองทุนน้ำมันในช่วงวิกฤติน้ำมันแพง โดยเงินในส่วนของน้ำมันดีเซล นำไปบริหารราคาขายปลีกให้ไม่เกิน 35 บาท/ลิตร เงินในส่วนของน้ำมันเบนซิน นำไปลดราคาขายปลีก 1 บาท/ลิตร
กระทรวงพลังงานรายงานว่า กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับกลุ่มโรงกลั่นถึงแนวทางในการดำเนินกาส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือ ปตท. นำส่งกำไรส่วนหนึ่งของโรงแยกก๊าซธรรมชาติเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งคาดว่าจัดเก็บได้ 500-1,000 ล้านบาท/เดือน
1.4 มาตรการประหยัดพลังงาน
- ภาคประชาชน อาทิ มาตรการ "ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน" ปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ ตั้งอุณหภูมิ เรื่องปรับอากาศ 26 องศาเซลเซียส
- ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม อาทิ การเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศเป็นเวลา ขอความร่วมมือให้ปิดป้ายโฆษณาหลัง 22.00 น. เป็นต้น
- ภาคขนส่ง อาทิ การส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะแทนยานพาหนะส่วนบุคคล รณรงค์ขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม. ลดการเดินทางโดยการใช้แอปฯ สั่งอาหารหรือรับส่งของ หรือใช้การประชุมออนไลน์แทนการเดินทางด้วยตนเอง
- หน่วยงานราชการ อาทิ ลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลง 20% และกำหนดให้ลดการใช้พลังงาน 20% เป็นตัวชี้วัดของส่วนราชการ การผลักดันกลไกการจัดการพลังงาน (ESCO) เป็นต้น
2. มาตรการด้านการคลัง
2.1 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ระยะเวลา 15 ก.ค. - 31 ธ.ค. 65 โดยให้หักรายจ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่งหรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น หรือค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริงสำหรับอบรม สัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และ 1.5 เท่าสำหรับจังหวัดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง
2.2 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดนิทรรศการ และงานแสดงสินค้าภายในประเทศ ให้หักรายจ่ายค่าเช่าพื้นที่หรือค่าบริการในการเข้าร่วมงาน ออกร้าน งานนิทรรศการ หรืองานแสดงสินค้าในประเทศ เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง