นายคอลลิน เวียร์ กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยนายสุภัทร ติระชูศักดิ์ ฝ่ายกฎหมาย และนายวัฒนชัย คุ้มสิน วิศวกร บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกันแถลงข่าวทวงถามความเป็นธรรมจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งเคยเป็นคู่สัญญาในสัญญาสัมปทานโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) มูลค่า 80,000 ล้านบาท
นายสุภัทร กล่าวว่า ที่ประชุมบริษัทได้มีการพิจารณา และมีแนวคิดที่จะดำเนินการที่จะฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในเรื่องการกระทำผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สร้างความไม่เป็นธรรม ความเสียหายต่อบริษัท และทำให้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้น เป็นภาระภาษีของประชาชน ซึ่งทั้งผู้บริหาร รฟท. รมว.คมนาคม อยู่ในข่ายเกี่ยวข้อง ส่วนจะฟ้องอาญาเมื่อใด บริษัทฯจะพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นระยะๆ
"การที่บริษัทออกมาแถลงข่าวเพื่อต้องการให้ประชาชนคนไทยรับทราบว่าบริษัทไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการเงินที่ได้ลงทุนไปคืน ตามกระบวนการอันชอบด้วยกฎหมายไม่ประสงค์ค้าความ แต่หากการดำเนินการของรัฐที่ทำให้บริษัทฯเสียหาย จำเป็นต้องปกป้องสิทธิ"นายสุภัทร กล่าว
นายสุภัทร กล่าวว่า ตามคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลากร ปี 51 ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. คืนเงินค่าตอบแทนจำนวน 2,850 ล้านบาท คืนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปแล้วบางส่วนจำนวน 9,000 ล้านบาท คืนหนังสือค้ำประกันสัญญา และคืนค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน จำนวน 38,749,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี รวมเป็น 18,888 ล้านบาท ซึ่งนับถึงปัจจุบันค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านบาทแล้ว โดยมีค่าดอกเบี้ยเพิ่มวันละ 2.4 ล้านบาท
"โครงการโฮปเวลล์มีมูลค่า 80,000 ล้านบาท บริษัทลงทุนไปแล้วประมาณ 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างราว 16,000 ล้านบาทเมื่อถูกเลิกสัญญา วงเงินที่นำเข้าเข้าอนุญาโตตุลาการคือ 14,000 ล้านบาท โดยอนุญาโตฯชี้ขาดให้ที่วงเงิน 9,000 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย"
ภายหลังศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเป็นที่สุด เมื่อวันที่ 21 มี.ค.62 ให้กระทรวงคมนาคม และรฟท. ปฎิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งหลังจากนั้น บริษัท โฮปเวลล์ ได้มีการเจรจากับ กระทรวงคมนาคมและรฟท.3 ครั้งเพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งขณะนี้วงเงินค่าเสียหายอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท โดยบริษัทเสนอลดค่าเสียหายเหลือ 18,000 ล้านบาท บวกเงื่อนไขค่าดอกเบี้ยเจ้าหนี้ โดยมีกรอบเวลารัฐยืนยัน แต่รัฐไม่ตอบรับ แต่กลับเปิดคดีใหม่ฟ้องร้องบริษัทอีก โดยกล่าวหาจัดตั้งบริษัทมิชอบ
"เรื่องจัดตั้งบริษัทฯมิชอบนั้น บริษัทจดทะเบียนปี 33 แต่ปี 64 ฝ่ายรัฐบอกบริษัทก่อตั้งไม่ถูกต้อง บริษัทไม่มีตัวตน เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ยืนยันมาแล้ว กระทรวงคมนาคม รฟท.ไปฟ้องศาลปกครองฟ้องนายทะเบียน ซึ่งศาลยกคำฟ้องทั้งหมด ยืนยันบริษัทจดทะเบียนถูกต้อง และรฟท.มีหนังสือยืนยันเมื่อ 24 ตุลาคม 33 แล้ว แต่มีการฟ้องบริษัท จึงรับไม่ได้"
ขณะนี้ หากรัฐต้องการเจรจา สามารถเริ่มต้นกันใหม่ ตัวเลขค่าเสียหายปัจจุบันที่ 27,000 ล้านบาท แม้จะมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดระงับการบังคับคดีอนุญาโตฯ แต่ไม่ได้ลบล้างคำชี้ขาดอนุญาโตฯดังนั้น ดอกเบี้ยยังคงเพิ่มทุกวัน ยอดค่าเสียหาย จึงเพิ่มไปด้วย
ด้านนายเวียร์ กล่าวว่า นับจากรัฐบาลไทย โดยกระทรวงคมนาคมและ รฟท. ได้บอกเลิกสัญญาเมื่อปี 41 และบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะอนุญาโตตุลาการ โดยขอให้คณะอนุญาโตตุลาการ มีคำวินิจฉัยให้คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่ายคือ รฟท. และบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัดคืนสู่สถานะเดิม พร้อมกับคืนเงินตอบแทน และเงินลงทุนที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดตามที่บริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ร้องขอออกมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 51 แต่ทั้งกระทรวงคมนาคม และ รฟท. กลับยังมิได้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ยังแสดงท่าทีที่จะไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอย่างชัดเจน โดยการพยายามใช้กลไกทางกฎหมาย ประวิงการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ได้วางบรรทัดฐานการวินิจฉัยคดีในลักษณะเดียวกันมามากกว่า 50 คดี รวมถึงความพยายามทำให้บริษัท โฮปเวลล์(ประเทศไทย) จำกัด เป็นโมฆะหรือสิ้นสภาพ
"ความพยายามของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. มุ่งหวังเพียงเพื่อจะไม่ต้องคืนเงินให้แก่โฮปเวลล์ฯ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อภาพลักษณ์การลงทุนของประเทศไทย ต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทยของนักลงทุนนานาชาติ รวมทั้งไม่คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรี และความซื่อสัตย์สุจริตในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ที่พึงต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างเคร่งครัด โดยปราศจากข้อยกเว้นหรือข้ออ้างใดๆ"