ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์หน้า (27 มิ.ย.-1 ก.ค.) อยู่ที่ระดับ 35.25-35.85 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณไหลออกของเงินทุนต่างชาติ และรายงานเศรษฐกิจการเงินเดือน พ.ค.ของไทย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือน มิ.ย. ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือน พ.ค. ดัชนีราคาบ้านเดือน เม.ย. รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อจาก PCE/Core PCE Price Index เดือน พ.ค. จีดีพีไตรมาส 1/65 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ค. อัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย.ของยูโรโซน และดัชนี PMI เดือน มิ.ย.ของจีน
เงินบาทร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 5 ปีครึ่งที่ 35.57 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันท่ามกลางแรงกดดันด้านอ่อนค่าจากการคาดการณ์ว่า แม้วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยใกล้จะเริ่มขึ้น แต่จังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยก็จะยังคงตามหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อยู่พอสมควร นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และน่าจะมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ที่มาจากฝั่งผู้นำเข้าในช่วงใกล้สิ้นไตรมาส
เงินบาทอ่อนค่าลงเกือบตลอดสัปดาห์ แม้เงินดอลลาร์ฯ จะเผชิญแรงขายจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังประธานเฟดยืนยันต่อสภาคองเกรสว่า เฟดมุ่งมั่นที่จะจัดการกับปัญหาเงินเฟ้ออย่างไม่มีเงื่อนไขเพื่อให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% แต่ก็ยอมรับว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะถดถอย
ในวันศุกร์ที่ 24 มิ.ย.65 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.48 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับระดับ 35.23 บาท/ดอลลาร์ในวันศุกร์ก่อนหน้า (17 มิ.ย.) โดยระหว่างวันที่ 20-24 มิ.ย. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 11,011 ล้านบาท ขณะที่มีสถานะเป็น NET OUTFLOW ออกจากตลาดพันธบัตร 11,271 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหมดอายุของตราสารหนี้ 7,979 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตร 3,292 ล้านบาท