วิจัยกรุงศรี ระบุว่า มาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตราคาพลังงาน และมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศที่รัฐบาลออกมานั้น ค่อนข้างเน้นการช่วยเหลือไปยังเฉพาะกลุ่มมากขึ้น และอาจช่วยลดทอนผลกระทบจากราคาพลังงานได้บางส่วน เนื่องจากแรงกดดันจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังเพิ่มขึ้นในระดับสูง ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงราคาสินค้าในประเทศที่เตรียมจะปรับขึ้น อาทิ ราคาก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้าผันแปร ค่าเดินทางและขนส่ง และสินค้าอุปโภคบริโภค (บะหมี่สำเร็จรูป ผงซักฟอก) ประกอบกับค่าเงินบาทที่ผันผวนในทิศทางอ่อนค่า ซึ่งจะกระทบต่อราคาสินค้าวัตถุดิบนำเข้า และต้นทุนการผลิตเพิ่ม
โดยล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการลดค่าครองชีพรอบใหม่ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย. 65 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตพลังงาน ซึ่งมีทั้งการต่ออายุมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดลง และมาตรการใหม่ที่เพิ่มเติม อาทิ
1. ขยายเวลาการตรึงราคาขายปลีก NGV 15.59 บาทต่อกิโลกรัม และคงราคาไว้ที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน 2. ขยายเวลาการช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้มแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรฯ 3. อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล 50% ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตร และ 4. ขอความร่วมมือไปยังกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันนำส่งกำไรค่าการกลั่น เพื่อนำมาช่วยพยุงราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ได้แก่ 1. ขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 เพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านสิทธิ์ สิ้นสุดเดือนต.ค. (เดิมพ.ค.) และ 2. มาตรการด้านภาษี โดยให้ธุรกิจสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการอบรม สัมมนา หรือการจัดแสดงงานต่างๆ มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าในจังหวัดอื่นๆ
พร้อมมองว่า ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อของภาคครัวเรือนอ่อนแอ และรายได้ที่แท้จริงลดลง ความแตกต่างของตะกร้าการบริโภคชี้ว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบหนักสุดจากราคาอาหาร และการขนส่งที่สูงขึ้น เนื่องจากมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในหมวดดังกล่าวสูง
วิจัยกรุงศรี มองว่าภาคท่องเที่ยวและส่งออก ยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยมูลค่าการส่งออกในเดือนพ.ค. ขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 10.5% YoY จาก 9.9% เดือนก่อน และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 6.7% นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากการส่งออกที่ยังเติบโตได้ดีกว่าคาด แม้ในช่วงที่เหลือของปีอาจมีแนวโน้มชะลอลงบ้าง ตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในเดือนพ.ค. มีทั้งสิ้น 5.21 แสนคน เพิ่มขึ้นจาก 2.93 แสนคนในเดือนก่อน โดยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยสูงสุด ได้แก่ อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐฯ และอังกฤษ สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 1.31 ล้านคน
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกจากที่ทางการทยอยผ่อนคลายข้อจำกัด สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค. ที่มีการยกเลิกระบบ Test & Go แก่ผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย. กว่า 70% และล่าสุดทางการประกาศเตรียมยกเลิกไทยแลนด์พาส และเปิดประเทศเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.65 คาดว่าจะยิ่งช่วยหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้น จากค่าเฉลี่ยในช่วงต้นเดือนมิ.ย.65 ประมาณวันละ 2-2.5 หมื่นคน ดังนั้น วิจัยกรุงศรี ปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ว่า มีโอกาสที่จะแตะระดับ 8 ล้านคน (จากเดิมคาด 5.5 ล้านคน)
"ทั้งภาคส่งออก และภาคท่องเที่ยว จึงนับเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในช่วงที่เหลือของปี" บทวิเคราะห์ระบุ