นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า เตรียมนัดหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) เพื่อพิจารณาการขยายมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะสิ้นสุดในปี 65 เบื้องต้นมีแนวคิดจะขยายเพิ่มอีก 1 ปี
มาตรการในกลุ่มดังกล่าว ได้แก่
1. มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01%
2.มาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100% (กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยถึงวันที่ 31 ธ.ค.65
3. เร่งผลักดันโครงการบ้านล้านหลัง โดยต้องการให้เอกชนเข้ามาร่วมโครงการมากขึ้นในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น โดยโครงการนี้ ครม.ได้ขยายสินเชื่อจาก 1.2 ล้านบาท เป็น 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ 1.99% ระยะเวลา 4 ปี ซึ่งมารการนี้จะดูแลผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง
นายอาคม กล่าวว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีการเปิดประเทศให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีจำนวน 9-10 ล้านคน เชื่อว่าจะส่งผลดีกับภาคเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปี 65 ต่อเนื่องถึงปี 66 ขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกที่ยังโตต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นนั้น สถาบันการเงินของรัฐซึ่งถือเป็นกลไกของรัฐบาล อย่างกรณีของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อาจต้องมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นบ้าง แต่ต้องไม่ปรับขึ้นอย่างเต็มที่ โดยขณะนี้กระทรวงคลังขอให้ตรึงดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้น
"คลังอยากขอให้แบงก์รัฐตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุดก่อน เพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ในภาพรวมก็ต้องดูนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร ส่วนธอส.จะขึ้นดอกเบี้ย ก็จะต้องดูนโยบายด้วย หาก ส.ค.นี้ กนง. ปรับขึ้นก็คงต้องนำมาพิจารณาประกอบ" นายอาคม กล่าว