นายนพดล ปิ่นสุภา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม กล่าวว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าของระบบพลังงานหมุนเวียนที่ลดลง ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีความต้องการที่จะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น อีกทั้งธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ยังถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การเกิดขึ้นของตลาดคาร์บอนเครดิต และการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบใหม่
ดังนั้นภาครัฐและเอกชนควรที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้สอดคล้องกับกติกาโลกใหม่ และบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วน 30% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2573 รวมถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2608
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท.กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในการลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการนำร่องการพัฒนาทางด้านพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิต เพื่อจัดทำฐานข้อมูลและการรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิต โดยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของสภาอุตสาหกรรมฯ ผ่านโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 โดยการริเริ่มและสนับสนุนจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบตามแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน
นายวีรวัจน์ บัวทอง รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์องค์กรและความยั่งยืน กฟน. กล่าวว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิตดังกล่าว จะมีความสำคัญในการรองรับการเกิดขึ้นของตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยส่งผลให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเข้ามาสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟน.มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ ส.อ.ท.ในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้สอดรับกับนโยบายที่ต้องการเดินหน้าเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นำไปสู่การเพิ่มทางเลือกและช่องทางการเข้าถึงบริการด้านพลังงาน เพื่อให้ประชาชนและกลุ่มอุตสาหกรรมได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้น
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส.อ.ท.ได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการไทย ทั้งภาคการผลิตและภาคการค้าที่กำลังจะประสบปัญหากลไกด้านสิ่งแวดล้อมแบบ Non-Tariff Barrier ที่ส่งผลให้ความต้องการการใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก เกิดธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลาย และยังมีความท้าทายที่ต้องการการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
การที่ ส.อ.ท.กับ กฟน.ร่วมมือกันในครั้งนี้ ผ่านโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 ที่ กกพ.ได้ริเริ่มและสนับสนุนอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถซื้อขายไฟฟ้าข้ามสายส่ง และเปิดการอนุญาตทดลอง กติการูปแบบใหม่ๆ เพื่อทดลองแนวทางที่เหมาะสมที่สามารถผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับธุรกิจต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการสากล โดยโอกาสในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ยุคสังคมคาร์บอนต่ำ
นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า โครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการทดสอบทางเทคโนโลยีด้านพลังงานในสภาพแวดล้อมของการใช้งานจริงในพื้นที่และขนาดที่จำกัด อีกทั้งเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลนวัตกรรมด้านพลังงาน ทั้งในรูปแบบเปิดกว้าง และแบบมุ่งเป้าในด้าน Green Innovation และ Green Regulation
ทั้งนี้ จะทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบธุรกิจการให้บริการทางด้านพลังงานแบบใหม่ ที่จะนำไปสู่การเพิ่มทางเลือก และช่องทางการเข้าถึงบริการด้านพลังงาน ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาต่ำลง ช่วยลดมลพิษจากการผลิตไฟฟ้าด้วยการจัดการแบบใหม่และการใช้พลังงานสะอาด
นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวถึงนโยบายของ สอวช. และการสนับสนุนการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการโดยแบ่งเป็น 6 หลักสูตร คือ 1.Design Principle: Passive & Active Design 2.Energy Efficiency 3.Renewable Energy 4.3R+1W+1C 5.Carbon Credit Certificate 6.Carbon Credit/RE Platform ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นในเดือน ส.ค.65