นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยยอดจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่ประจำเดือน มิ.ย.65 ทั่วประเทศมีจำนวน 6,661 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 20,744.36 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 612 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 432 ราย คิดเป็น 6% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 276 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ
หากแบ่งตามช่วงทุน พบว่า ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุดไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,553 ราย คิดเป็น 68.35% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,005 ราย คิดเป็น 30.10% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 90 ราย คิดเป็น 1.35% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 13 ราย คิดเป็น 0.20% ตามลำดับ
ทั้งนี้ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรกมีธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศจำนวน 40,301 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 280,604.79 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 3,992 ราย คิดเป็น 10% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2,165 ราย คิดเป็น 5% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 1,388 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
หากแบ่งตามช่วงทุน พบว่า ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุดไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 28,972 ราย คิดเป็น 71.89% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 10,771 ราย คิดเป็น 26.73% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 475 ราย คิดเป็น 1.18% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 83 ราย คิดเป็น 0.21% ตามลำดับ
ขณะที่มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการในเดือน มิ.ย.65 จำนวน 1,463 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการจำนวน 5,168.37 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 133 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 71 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึง คนโดยสารจำนวน 39 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
หากแบ่งตามช่วงทุน พบว่า ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศมากที่สุดไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,051 ราย คิดเป็น 71.84% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 351 ราย คิดเป็น 23.99% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 55 ราย คิดเป็น 3.76% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 6 ราย คิดเป็น 0.41% ตามลำดับ
ทั้งนี้ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีธุรกิจเลิกประกอบกิจการจำนวน 6,009 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการจำนวน 58,511.95 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 610 ราย คิดเป็น 10% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 283 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 175 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
หากแบ่งตามช่วงทุน พบว่า ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศมากที่สุดไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 4,308 ราย คิดเป็น 71.69% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 1,429 ราย คิดเป็น 23.78% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 227 ราย คิดเป็น 3.78% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 45 ราย คิดเป็น 0.75% ตามลำดับ
สำหรับธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 มิ.ย.65) มีจำนวน 842,632 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 20.22 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 202,814 ราย คิดเป็น 24.07% บริษัทจำกัด จำนวน 638,470 ราย คิดเป็น 75.77% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,348 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
หากแบ่งตามช่วงทุน พบว่า ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 499,534 ราย คิดเป็น 59.28% รวมมูลค่าทุน 0.44 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.18% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 250,932 ราย คิดเป็น 29.78% รวมมูลค่าทุน 0.85 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.20% ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 75,231 ราย คิดเป็น 8.93% รวมมูลค่าทุน 2.06 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.19% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 16,935 ราย คิดเป็น 2.01% รวมมูลค่าทุน 16.87 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.43% ตามลำดับ
ขณะเดียวกันในเดือน มิ.ย.65 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้นจำนวน 47 ราย แบ่งเป็น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 16 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 31 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 14,872 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรกมีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้นจำนวน 284 ราย เพิ่มขึ้น 8% เงินลงทุน 69,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 สัญชาติแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 11 ราย เงินลงทุน 2,961 ล้านบาทรองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 9 ราย เงินลงทุน 224 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 1,233 ล้านบาท ตามลำดับ