ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินว่า ในปี 65-66 ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังขยายตัวได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง ส่วนหนึ่งเพราะฐานสูงจากช่วงครึ่งแรกของปี 65 ที่มีอัตราเติบโตสูงขึ้นมาก และปัจจัยท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด อาทิ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้น
โดยมองทิศทางสินค้าเกษตรในปี 65-66 ดังนี้
- ข้าว ในปี 65-66 ตลาดส่งออกฟื้นตัว โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกข้าวจะอยู่ที่ 7.2 และ 7.6 ล้านตัน ตามลำดับ หรือเพิ่มขึ้น 18.0%YoY และ 5.6%YoY ตามลำดับ (ปรับดีขึ้นกว่าการประเมินครั้งก่อนที่อยู่ที่ 7.0 และ 7.2 ล้านตัน จากอานิสงส์ของค่าเงินบาทที่อ่อนค่ากว่าที่คาด และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ) แต่ยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนโควิด และนับว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เนื่องจากยังคงต้องแข่งขันรุนแรงกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย อีกทั้งคาดว่าผลผลิตข้าวของประเทศผู้ส่งออกสำคัญอย่าง ไทย เวียดนาม และอินเดีย มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ยิ่งทำให้การแข่งขันส่งออกข้าวในตลาดโลกรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ สายพันธุ์ข้าวไทยเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามมีราคาถูกและรสชาติดี จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ทำให้ผู้ซื้อสามารถต่อรองและกดราคาข้าวไทยลงได้อีก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อ Margin ของผู้ส่งออก
- ยางพารา ในปี 65 มูลค่าส่งออกยางแผ่น และยางแท่ง จะอยู่ที่ 1.38 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 11.5% โดยเป็นผลจากทั้งปัจจัยด้านราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้น 9.4% ตามราคาน้ำมันตลาดโลก และปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.23 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 2.0%YoY ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
ส่วนในปี 66 คาดว่ามูลค่าการส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวหรือเท่ากับ 1.42 แสนล้านบาท โดยเป็นผลจากปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.41 ล้านตัน หรือขยายตัว 9.0%YoY เพราะความต้องการใช้ยางแผ่นและยางแท่ง เพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนและโลกที่ยังคงขยายตัว อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาการขาดแคลนชิปจะทำให้ในปี 66 การผลิตยานยนต์ของจีนอาจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังการส่งออกยางแผ่น ยางแท่งของไทย แต่คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะคลี่คลายในปี 66
สำหรับมูลค่าส่งออกน้ำยางข้น ในปี 65 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.65 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 5.0%YoY แม้ว่าราคาส่งออกน้ำยางข้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่ปริมาณการส่งออกน้ำยางข้นจะมีแนวโน้มลดลง จากอุปทานถุงมือยางในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น
ส่วนปี 66 คาดว่ามูลค่าส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 4.74 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.0%YoY เพราะความต้องการใช้น้ำยางข้นในการผลิตถุงมือยางที่จะกลับมาขยายตัวได้ เนื่องจากปัญหาอุปทานส่วนเกินถุงมือยางโลกที่บรรเทาลง อีกทั้งความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางทางการแพทย์และเภสัชกรรม ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์ทั่วโลก
- ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ในปี 65 คาดว่ามูลค่าส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ 220,135 ล้านบาท หรือขยายตัว 15.7%YoY หลังจากที่ด่านส่งออกทางบกไปจีน 3 ด่าน จากทั้งหมด 4 ด่าน ที่ปิดทำการไปในช่วงไตรมาส 1 ได้เปิดทำการเป็นปกติแล้ว สะท้อนจากมูลค่าส่งออกในไตรมาส 2 ที่กลับมาขยายตัวสูง
ส่วนในปี 66 มูลค่าส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ 258,000 ล้านบาท หรือขยายตัว 17.2%YoY โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยคิดเป็น 53% ยังขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับชาวจีนนิยมผักและผลไม้เมืองร้อนจากไทย อีกทั้งไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับจีน ทำให้ได้ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ คาดว่าในระยะข้างหน้าการส่งออกผักและผลไม้ของไทยไปจีน จะได้รับประโยชน์จากการเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว เนื่องจากเป็นการเพิ่มช่องทางการส่งออก รวมทั้งสามารถลดต้นทุนการขนส่งและระยะเวลาการขนส่งเหลือเพียง 15 ชั่วโมง เร็วกว่าการขนส่งทางถนนที่ใช้เวลาถึง 2 วัน
อย่างไรก็ดี การเพิ่มความเข้มงวดด้านมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของศุลกากรจีนและสำนักงานตรวจสอบกักกันโรค (CIQ) อาทิ การปฏิบัติตามมาตรการการตรวจสอบสินค้าและป้องกันเชื้อโควิด-19 สำหรับโรงงานผลิตผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งจากไทยของทางการจีน ทำให้ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่คู่ค้ากำหนด ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้น และอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อต้นทุนสินค้าส่งออกของไทย
- มันสำปะหลัง ในปี 65-66 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดของไทยจะอยู่ที่ 6.2 และ 6.6 ล้านตัน ตามลำดับ ขยายตัว 20%YoY และ 5%YoY (สูงกว่าการประเมินครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 5.5 และ 5.7 ล้านตัน ขยายตัว 5% ต่อปี) ขณะที่ปริมาณส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 5.1 และ 5.3 ล้านตัน ตามลำดับ ขยายตัว 4% ต่อปี เนื่องจากสต็อกข้าวโพดจีน (สินค้าทดแทน) มีทิศทางลดลง ส่งผลให้ผู้ผลิตจีนมีความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ผลจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อกว่าที่คาด ทำให้จีนนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มมันเส้นและมันอัดเม็ด เพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์ข้าวโพดจากยูเครน โดยในปี 64 จีนนำเข้าข้าวโพดจากจากยูเครนเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 30% ของปริมาณนำเข้าข้าวโพดทั้งหมดของจีน
ทั้งนี้ ในปี 65-66 ราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 7.4-9.2 บาท/กก. และ 250-310 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (เพิ่มขึ้นจากการประเมินครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 7.3-7.9 บาท/กก. และ 260-280 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ) ขณะที่ราคาเฉลี่ยแป้งมันในประเทศและราคาส่งออกในปี 65-66 จะอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 15.2-17.1 บาท/กก. และ 520-550 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากการประเมินครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 14.1-15.4 บาท/กก. และ 510-530 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนผลผลิตหัวมันสำปะหลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 32.1 ล้านตัน และ 32.5 ล้านตัน หลังราคาหัวมันสด ในปี 64 จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก
Krungthai COMPASS มองว่า แม้ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 65 จะขยายตัวได้ แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ
1. การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก และจากมาตรการควบคุมที่เข้มงวดด้านสุขอนามัยของจีน อาทิ การเพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรการการตรวจสอบสินค้าและป้องกันเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการโรงงานผลิตผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งจากไทย ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่คู่ค้ากำหนด ซึ่งในช่วงแรกอาจทำให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น และหากปรับตัวได้ช้า ก็อาจเสียตลาดให้กับคู่แข่งอย่างมาเลเซีย และเวียดนาม
2. ความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย จากแรงกดดันของเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางหลายประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าเกษตรในกลุ่มที่เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่สินค้าเกษตรในกลุ่มอาหาร อาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นในการบริโภค ประกอบกับความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ทำให้มีการกักตุนเพื่อบริโภค โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลไม้กระป๋อง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น
3. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้า เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพด รวมทั้งวัตถุดิบแม่ปุ๋ยที่มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการบางรายที่เร่งนำเข้าในช่วงต้นปีมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ขณะที่ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าอาจทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามแนวโน้มราคา Commodity ในตลาดโลก ดังนั้น ในระยะนี้ผู้ประกอบการในกลุ่มโรงงานผลิตปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์และปศุสัตว์ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนวัตถุดิบและสต็อกสินค้ามากขึ้น
4. ตลาดตะวันออกกลางได้รับผลดี จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันโลก แต่ผู้ส่งออกต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานของสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มอาหาร ที่ควรให้ความสำคัญกับมาตรฐานฮาลาล ซึ่งเปรียบเสมือนใบเบิกทางในการเข้าสู่ตลาดตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ผู้ส่งออกควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณภาพของสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังในอดีต เช่น เหตุการณ์ที่ประเทศอิรัก ได้แบนการสั่งซื้อข้าวจากประเทศไทยถึง 7 ปี เนื่องจากข้าวไม่ได้คุณภาพตามคำสั่งซื้อ
5. ต้นทุนวัตถุดิบสินค้าเกษตรในกลุ่ม ปุ๋ยเคมี บรรจุภัณฑ์ อาหารสัตว์ รวมทั้งราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้งนโยบายการเงินที่มีความเข้มงวดขึ้น จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะรายกลางและรายย่อย ที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนต่ำกว่ารายใหญ่ และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากอยู่แล้ว
6. ปัญหาค่าระวางเรือที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อต้นทุนการขนส่งของการส่งออกสินค้าเกษตรไทย โดยสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบมาก คือ ข้าวหอมมะลิ อาหารทะเล ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์ยาง
ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 2 ปี 65 ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมีแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อกว่าที่คาด ทำให้มีความต้องการสินค้ากลุ่มอาหารเร่งตัวขึ้น ทั้งเพื่อชดเชยการขาดแคลน และกักตุนไว้เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร
Krungthai COMPASS ระบุว่า มูลค่าส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไตรมาส 2 ปี 65 อยู่ที่ 14,720 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 20.4%YoY แบ่งเป็นหมวดสินค้าเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นชัดเจนที่ 15.4%YoY การส่งออกขยายตัวดีในทุกตลาดสำคัญ โดยจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด คิดเป็น 27% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดกลับมาเร่งตัวที่ 20%YoY
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ มันสำปะหลัง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และข้าว ขณะที่ตลาดแอฟริกาขยายตัวถึง 31%YoY จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวตามราคาน้ำมันตลาดโลก โดยสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าวนึ่ง ขยายตัวถึง 38.8%YoY
ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 28.0% โดยสินค้าส่งออกในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงยังขยายตัวดี และโดยเฉพาะน้ำตาลทรายที่ได้รับผลดีจากราคาส่งออกและปริมาณอ้อยที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปยังคงขยายตัว โดยเฉพาะทูน่ากระป๋อง ที่ได้รับผลดีจากความกังวลจากข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงฐานที่ต่ำในปีก่อน
สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ ช่วงไตรมาส 2 ปี 65
- ข้าว มูลค่าการส่งออกไตรมาสที่ 2 ปี 65 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ที่ 46.6%YoY จากปัจจัยเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ราคาส่งออกข้าวขาวอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม และอินเดียได้มากขึ้น อีกทั้งมีการเร่งนำเข้าเพื่อกักตุน จากความกังวลของคู่ค้าหลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนมีแนวโน้มยืดเยื้อมากกว่าที่คาด นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ทำให้สามารถขยายตลาดสู่ตลาดตะวันออกกลางได้มากขึ้น
- ยางพารา มูลค่าการส่งออกไตรมาสที่ 2 ปี 65 ขยายตัว 3.0%YoY ชะลอลงจากไตรมาสก่อนซึ่งขยายตัว 6.2%YoY โดยมูลค่าส่งออกยางแผ่น และยางแท่งหดตัว 0.6%YoY ตามปริมาณส่งออกที่ลดลง 1.0% จากการที่จีนใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อดำเนินนโยบาย Zero COVID ทำให้โรงงานผลิตยานยนต์บางส่วนต้องหยุดการผลิตชั่วคราว ขณะเดียวกันราคาส่งออกยางแผ่นและยางแท่ง ยังปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนพ.ค. เนื่องจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ยังถือว่าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนมูลค่าส่งออกน้ำยางข้นเพิ่มขึ้น 12.2%YoY เนื่องจากความต้องการใช้น้ำยางข้น เพื่อเป็นวัตถุดิบการผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จากมาตรการที่เข้มงวดในการจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 ของจีน
- มันสำปะหลัง มูลค่าส่งออกไตรมาสที่ 2 ของปี 65 ขยายตัว 43.2%YoY โดยเฉพาะมูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ด ขยายตัวถึง 88.7%YoY เนื่องจากสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อกว่าที่คาด ทำให้จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยเร่งสะสมสต็อกสินค้าโภคภัณฑ์เกษตร เพื่อความมั่นคงด้านอาหาร อีกทั้งส่วนต่างราคาข้าวโพดจีนเทียบกับราคาส่งออกมันเส้นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 65 อยู่ที่ 180-190 USD/ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ผู้ผลิตจีนจึงยังมีความต้องการนำเข้ามันเส้นจากไทยมากขึ้น
- ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง มูลค่าการส่งออกในไตรมาส 2 ของปี 65 กลับมาขยายตัว 18.3%YoY จากความต้องการของตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักที่เพิ่มขึ้นชัดเจน ขยายตัวถึง 27.6%YoY โดยเฉพาะสินค้าทุเรียน ส่วนหนึ่งมาจากด่านส่งออกทางบกเปิดทำการได้ปกติ ประกอบกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอีกทั้งไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับจีนด้วย