น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับทราบจากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ถึงภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ที่ขยายตัวได้ 2.5% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ที่ขยายตัว 2.3% ส่งผลให้ครึ่งแรกของปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ย 2.4%
"นายกรัฐมนตรีพอใจที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่องมาได้ 3 ไตรมาสแล้ว เริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/64 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ที่กลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ แต่เศรษฐกิจระยะต่อไปยังมีความท้าทาย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่ารัฐบาลจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดันการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายด้วยแผนการจัดการเศรษฐกิจที่วางไว้" น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยง แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง โดยเฉพาะจากกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ได้สร้างความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน วัตถุดิบการผลิต ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร ในช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามทุกปัจจัยเสี่ยงอย่างใกล้ชิด และมอบหมายหน่วยงานเกี่ยวข้องผ่านคณะกรรมการชุดต่างๆ ในการเตรียมแผนและมาตรการเพื่อสนองตอบแต่ละสถานการณ์ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการในประเทศ ไปพร้อมกับการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตให้ได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการตามแผนงานที่จัดเตรียมไว้แล้ว ทั้งในส่วนที่เกี่ยวของกับการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยติดตามดูแลกลไกการตลาด และราคาสินค้า และการดูแลประชาชน โดยเน้นการพุ่งเป้าที่กลุ่มเปราะบาง การดูแลปัญหาหนี้สินครัวเรือนและ SMEs ในช่วงดอกเบี้ยที่กำลังปรับขึ้น ดูแลการผลิตภาคการเกษตรที่บางส่วนได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิต การบริหารจัดการเพื่อป้องกันปัญหาจากอุทกภัย
รวมถึงส่วนที่ต้องเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระยะต่อไป อาทิ ผลักดันการส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่มีการฟื้นตัวเศรษฐกิจ การสร้างตลาดใหม่ๆ และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพสูง เพื่อรับกับการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เร่งรัดการลงทุนโครงการของรัฐ และโครงการของเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง และเกาะติดสถานการณ์ความขัดแย้งในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมกับประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย