น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.) มีโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุน รวม 784 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4% และมูลค่ารวม 219,710 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 42% เนื่องจากในปี 2564 มีการขอรับการส่งเสริมการผลิตพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก มีเงินลงทุนรวมสูงถึง 75,780 ล้านบาท
สำหรับคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวนทั้งสิ้น 358 โครงการ คิดเป็น 46% ของจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด และมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 153,480 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมดิจิทัล มีอัตราการขยายตัวสูงสุด โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดที่ 42,410 ล้านบาท ขยายตัว 212% อุตสาหกรรมดิจิทัล มูลค่าเงินลงทุน 1,450 ล้านบาท ขยายตัว 202%
ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 395 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 130,081 ล้านบาท โดยการลงทุนจากไต้หวันมีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 36,100 ล้านบาท เนื่องจากมีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน สอดคล้องกับนโยบายบีโอไอที่มุ่งให้การส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันไทยไปสู่ศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาค และคาดว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มาตรการสนับสนุนของรัฐบาลได้รับความสนใจจากผู้ผลิตยานยนต์อย่างกว้างขวาง
น.ส.ดวงใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการรถยนต์ไฟฟ้าที่อนุมัติแล้ว มีทั้งหมด 26 โครงการ จาก 17 บริษัท ยอดรวม 838,755 คัน รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) 440,955 คัน รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) 137,600 คัน รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) 256,200 คัน และรถบัสไฟฟ้า 4,000 คัน ทั้งนี้ มีค่ายรถยนต์ที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุน ทั้งจากจีน และยุโรป ซึ่งขณะนี้จะเน้นส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก
สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 217 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 104,850 ล้านบาท โดยจังหวัดระยอง มีโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนที่มีมูลค่าเงินสูงสุด 85,500 ล้านบาท จาก 86 โครงการ รองลงมา คือจังหวัดชลบุรี มูลค่าเงินลงทุน 16,690 ล้านบาท จาก 110 โครงการ และจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าเงินลงทุน 2,660 ล้านบาท จาก 21 โครงการ ในแง่ของสาขาอุตสาหกรรม เป็นการลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนถึง 49% เนื่องจากโครงการยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ รองลงมาคืออุตสาหกรรมปิโตรเคมี 30% ซึ่งพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของภูมิภาคอยู่แล้ว
นอกจากนี้ มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ จำนวน 141 โครงการ เงินลงทุน 11,830 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อการใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงาน หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางของโลกที่ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน ซึ่งกำลังจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าสู่ตลาดด้วย เนื่องจากคู่ค้ารายใหญ่เริ่มกำหนดเงื่อนไขการใช้พลังงานทดแทน
ส่วนมาตรการสิทธิประโยชน์สำหรับการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ก็ยังเป็นมาตรการที่ภาคเอกชนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง รองรับโครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ภาคการผลิตจำเป็นต้องนำระบบอัตโนมัติมาใช้แทนแรงงานคน ส่วนคำขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการ SMEs มีจำนวน 21 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,050 ล้านบาท