นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมิ.ย. 65 จำนวน 8,363 คน เกี่ยวกับการปรับตัวในภาวะน้ำมันแพง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมัน โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง ตามด้วยเปลี่ยนชนิดพาหนะ/วิธีการเดินทาง และเปลี่ยนชนิดน้ำมัน
ขณะที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่าย พบว่า ส่วนใหญ่ใช้สินค้าฟุ่มเฟือยลดลง ตามด้วยเดินทางท่องเที่ยว และบริโภคอาหารนอกบ้านน้อยลง หากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงยืดเยื้อ ส่วนใหญ่จะหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้
ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและดูแลค่าบริการขนส่งสาธารณะให้เหมาะสม กระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว และสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากจะบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นแล้ว ยังช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดผลการสำรวจ ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ในภาวะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง ผู้ตอบแบบสอบถามมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะด้านการเดินทาง 3 อันดับแรก คือ ใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง (29.23%) เปลี่ยนชนิดพาหนะหรือเปลี่ยนวิธีการเดินทาง (17.15%) และเปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เติมรถยนต์ (10.82%)
ทั้งนี้ จากการสำรวจยังเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มที่ไม่ได้ทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ สาเหตุน่าจะมาจากการใช้บริการขนส่งสาธารณะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้ ดังนั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและดูแลค่าบริการขนส่งสาธารณะให้เหมาะสม เพื่อให้กลุ่มคนดังกล่าวได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน 3 อันดับแรก คือ ลดการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า (29.87%) ลดการเดินทางท่องเที่ยว (16.92%) และลดการบริโภคอาหารนอกบ้าน (16.25%)
ทั้งนี้ จากการสำรวจยังเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้ในช่วง 40,000 - 50,000 บาท/เดือน และกลุ่มพนักงานของรัฐ มีสัดส่วนการลดการออมค่อนข้างต่ำ (0.44% และ 0.88% ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนดังกล่าว อาจจะได้รับผลกระทบทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มอื่น และมีรายได้ที่มั่นคง นอกจากนี้ กลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน มีสัดส่วนการลดการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด อาจกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ภาครัฐควรกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มผู้มีรายได้สูงอย่างต่อเนื่อง
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว หากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแพงยืดเยื้อ 3 อันดับแรก คือ หาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ (54.10%) เปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (15.86%) และเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้ใกล้ที่ทำงาน (11.76%)
ทั้งนี้ จากการสำรวจยังเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาท/เดือน และกลุ่มผู้ประกอบการ มีสัดส่วนการเปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างมาก (มากกว่า 20%) สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนดังกล่าวมีกำลังซื้อ และการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ นอกจากมาตรการของภาครัฐที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ทั้งลดภาษีนำเข้า ลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไข จะสามารถช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ได้แล้ว ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวก และจูงใจให้คนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีการปรับตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการใช้น้ำมันโดยตรง การลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น และหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้
สำหรับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพแล้ว ยังกำกับดูแลสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ชา และกาแฟ รวมถึงอาหารนอกบ้านต่าง ๆ ให้มีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ และสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการครองชีพควบคู่กันไป
นอกจากนี้ หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และดูแลค่าบริการขนส่งสาธารณะให้เหมาะสม ตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเปราะบาง (กลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มที่ไม่ได้ทำงาน) เพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
รวมทั้งควรกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มผู้มีรายได้สูง (มากกว่า 100,000 บาท/เดือน) ซึ่งมีสัดส่วนการลดการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด และในระยะยาว ควรมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อการอำนวยความสะดวก และจูงใจให้คนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง