ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 28 ก.ย.นี้ คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.00% ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี กนง. มีแนวโน้มที่จะทยอยถอนคันเร่งทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบางและยังคงไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม กนง. ต้องเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดค่าเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับ 37.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นระดับที่อ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี จากผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์ก่อนหน้า ที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างแข็งกร้าวมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางแข็งค่า และกดดันค่าเงินในภูมิภาครวมถึงค่าเงินบาทให้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่เงินเฟ้อไทยยังคงเร่งตัวสูงขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลงมาได้บ้าง เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และในวงกว้างขึ้น ซึ่งการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะยิ่งไปเร่งให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นผ่านทางต้นทุนสินค้านำเข้า ดังนั้น กนง. จึงเผชิญแรงกดดันอย่างมากให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายท่ามกลางเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างมาก
"กนง. คงจะยังทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และยังคงเปราะบางจากหนี้ในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง" บทวิเคราะห์ ระบุ
อย่างไรก็ดี หาก กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรง ก็อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดได้ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการภาคการส่งออกของไทยได้ ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นคงเพิ่มภาระทางการเงินของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่มีความเปราะบางอยู่แต่เดิมจากปัญหาหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้น กนง. จึงเผชิญกับสถานการณ์ทางเลือกที่จะต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่างประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านการเงินผ่านอัตราแลกเปลี่ยน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กนง. จะยังคงทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ และคงมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุม กนง. ในวันที่ 28 ก.ย. ที่จะถึงนี้ แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างมาก โดย กนง. คงหลีกเลี่ยงที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแรง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ กนง. คงมีมุมมองว่าการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงจะช่วยพยุงให้ค่าเงินพลิกกลับมาแข็งค่าได้บ้าง อีกทั้ง กนง. คงมีมุมมองว่าเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยนคงเป็นประเด็นระยะสั้น และยังพอมีเวลาที่จะติดตามสถานการณ์และเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินได้ในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ผลการประชุม กนง. ในครั้งนี้อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ซึ่งคงจะเป็นอีกจุดสำคัญที่ต้องติดตามในการประชุมครั้งนี้ ทั้งหมดทั้งมวล กนง. คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบที่ตามมาของการตัดสินใจนั้นๆ
ทั้งนี้ หาก กนง. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ในการประชุม กนง. ที่จะถึงนี้ คงส่งผลให้ค่าเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันให้อยู่ในทิศทางอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี หากในระยะข้างหน้า เฟดไม่ได้มีการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว ขณะที่หากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยเป็นไปตามคาด อาจส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุลได้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งก็อาจเป็นปัจจัยหนุนต่อทิศทางค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม หากทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงไม่ลดลงอย่างชัดเจน และเฟดยังคงต้องเร่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องไปในการประชุมในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ค่าเงินบาทคงเผชิญแรงกดดันให้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ และการพลิกภาพกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทคงล่าช้าออกไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี แม้ว่าค่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันให้อ่อนค่าลง แต่ก็เป็นการอ่อนค่าสอดคล้องกับค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งปัจจัยกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่านั้นมาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งมีที่มาจากปัญหาเรื้อรังของเศรษฐกิจภายใน
นอกจากนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยแม้ว่าเงินทุนสำรองของไทยจะปรับลดลงถึง 14.0% นับตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยอยู่ที่ระดับ 2.38 แสนล้านดอลลาร์ฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ก.ย. 65) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 3.2 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น (ข้อมูล ณ ไตรมาส 1/2565) ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันไทยยังคงห่างไกลจากการเกิดวิกฤติดังเช่นวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540
ทั้งนี้ ในการประชุม กนง. ครั้งนี้จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กนง. คงไม่มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีนี้จากเดิมเท่าใดนัก อย่างไรก็ดี จุดสนใจคงอยู่ที่การปรับประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีหน้า ท่ามกลางความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงแรงกว่าที่เคยคาด