ไทยลงนามเงินกู้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกับเจบิคแล้ว คาดประกวดราคาสัปดาห์หน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 31, 2008 16:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พร้อมด้วยนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ร่วมลงนามกับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิค)แล้ว ในโครงการเงินกู้สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง วงเงินกู้ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการประกวดราคาในสัปดาห์หน้า 
เงินกู้ดังกล่าวเป็นเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน มีอัตราดอกเบี้ยสำหรับการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการในอัตรา 1.4% ต่อปี และสำหรับส่วนที่จ้างที่ปรึกษาอัตราดอกเบี้ย 0.01%ต่อปี และมีค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ ซึ่งหากโครงการล่าช้าจะต้องเสียค่าปรับ 0.1% ของวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย กำหนดระยะเวลาชำระหนี้ 25 ปี มีระยะเวลาปลอดหนี้เงินต้น 7 ปี
ส่วนเงื่อนไขในการจัดซื้อสินค้าและบริการนั้น เจบิคเปิดโอกาสให้กระทำได้โดยเสรี โดยไทยสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการได้จากทุกประเทศไม่กำหนดเฉพาะญี่ปุ่นเท่านั่น โดยใช้วิธีประกวดราคานานาชาติ
ผู้ว่าฯ รฟม. กล่าวว่า หลังการเซ็นสัญญา รฟม.จะประกาศประกวดราคาทันทีในสัปดาห์หน้าโดยจะพยายามเซ็นสัญญาและเริ่มลงมือก่อสร้างให้ได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังได้หารือกับเจบิคในโครงการที่ไทยจะขอกู้เงินสำหรับก่อสร้างโครงการรถไฟสายสีน้ำ วงเงินกว่า 7 หมื่นล้านบาทด้วย ซึ่งทางเจบิคก็พร้อมให้การสนับสนุน
อย่างไรก็ดี ภายหลังการลงนามเงินกู้กับเจบิค นพ.สุรพงษ์ ได้ออกโรดโชว์กับกลุ่มนักลงทุนชั้นนำของญี่ปุ่น โดยกลุ่มแรก คือ กลุ่ม Sumitomo ยังสนใจโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ของรัฐบาลที่มีมูลค่าสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท
ขณะที่ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ที่ให้ความสนใจมาตรการกันสำรอง 30% โดย นพ.สุรพงษ์ ได้ชี้แจงสาเหตุการยกเลิกมาตรการดังกล่าว พร้อมระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว เพื่อสนับสนุนเงินลงทุนจากต่างประเทศ
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม Keidanren สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเช่นกัน โดยมองว่าไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในอาเซียน และยังสนใจร่วมทุนกับนักธุรกิจไทยในลักษณะร่วมลงทุนในต่างประเทศ
ทั้งนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทยมากนัก แต่ให้ความสนใจการวางแนวนโยบายของรัฐบาลมากกว่า พร้อมกันนี้ยังสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและมองว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งและพร้อมเข้ามาลงทุนเพิ่ม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ