SCBEIC คาดกนง.ทยอยขึ้นดอกเบี้ยสิ้นปีแตะ 1.25% ก่อนขยับสู่ 2%ในปีหน้า, บาทผันผวนระยะสั้น

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 29, 2022 12:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี 65 และ 2% ณ สิ้นปี 65 โดยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไป แม้จะมีแนวโน้มผ่อนคลายลงบ้างตามปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะลดลงตามอุปสงค์โลกที่ชะลอลง ช่วยให้เงินเฟ้อทยอยปรับลดลงอย่างช้า ๆ แต่จะยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปีหน้า เนื่องจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังราคาสินค้ากลุ่มอื่นที่จะมีมากขึ้น โดย EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย.65 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.25% สำหรับในปี 66 EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% และทรงตัวที่ระดับ 2% ณ สิ้นปี

การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่าจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 66 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะยังอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกและหนี้ที่สูงขึ้น

EIC มองว่า กนง. ไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหมือนประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว เนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว แรงกดดันด้านอุปสงค์ต่อเงินเฟ้อยังไม่มากเท่ากลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อนหน้าแล้ว นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีรอยแผลเป็นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ลึกกว่ากระทบหนี้ครัวเรือนไทยและรายได้ของภาคธุรกิจกลุ่มเปราะบาง เช่น ภาคบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า ด้วยเหตุนี้ แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้ครัวเรือนและธุรกิจกลุ่มเปราะบางสามารถปรับตัวได้ และลดความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ในระยะต่อไปที่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงโควิด-19 (เช่น การผ่อนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้เสีย) จะสิ้นสุดลง

นอกจากนี้ EIC มองว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มาก แม้จะช่วยลดแรงกดดันต่อการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้างในระยะสั้น แต่จะไม่สามารถทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าสวนทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐได้ นอกจากนี้เงินบาทที่อ่อนค่าลงมากยังไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทยอย่างมีนัย โดยเสถียรภาพตลาดการเงินไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี (อาทิ เงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ได้ไหลออกมาก ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับลดลงมาก) การส่งผ่านผลกระทบค่าเงินบาทอ่อนสู่เงินเฟ้อไทยก็ยังมีจำกัด ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยแรงเพื่อช่วยลดแรงกดดันการอ่อนค่าของเงินบาทจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ส่วนค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าอย่างมากในเดือนนี้ โดย EIC คาดว่า ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะยังผันผวนในกรอบ 37.5-38.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้การอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ดี EIC คาดว่า เงินบาทมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้ และจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสู่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 66 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนี้

1. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากแรงส่งของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

2. ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มกลับมาเกินดุลได้ในช่วงปลายปีนี้ ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนค่าขนส่งที่เริ่มลดลง รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการท่องเที่ยวไทย 3. เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทย ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดย Valuation ของหุ้นไทยยังน่าดึงดูด และนักลงทุนต่างชาติยังถือครองหุ้นไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ปัจจุบัน 22% ต่ำกว่าช่วงสิบปีที่ผ่านมาที่ 30%)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ