นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมกรอบความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทยและสิงคโปร์ (Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship: STEER) ครั้งที่ 6 ร่วมกับ รมว.แรงงาน และรมว.การค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในการประชุม STEER ครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 กิจกรรมสำคัญ คือ 1. การประชุม STEER ครั้งที่ 6 2. การลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ 5 ฉบับ ทั้งระหว่างภาครัฐ-ภาครัฐ และเอกชน-เอกชน และ 3. กิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ Online Businesses Matching (OBM) ระหว่างผู้ส่งออกไทย 33 บริษัทและผู้นำเข้าจากสิงคโปร์ 11 บริษัท รวมเป็น 44 บริษัท คาดว่าสามารถซื้อขายกันได้ประมาณ 30 ล้านบาท
โดยการลงนาม MOU รวมทั้งหมด 5 ฉบับ ได้แก่ การลงนามระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยกับสิงคโปร์ เรื่องการไม่ตรวจสิทธิบัตรซ้ำซ้อน, ระหว่างผู้ส่งออกไก่ของไทยกับผู้ค้าเนื้อไก่ในสิงคโปร์, ผู้ส่งออกเนื้อหมูไทยกับผู้ค้าขายเนื้อสัตว์ของสิงคโปร์, บันทึกความเข้าใจสิงคโปร์จะให้คำปรึกษาด้านการผลิตภาคเกษตรของไทย ที่จะนำไปสู่การได้คาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้น และฉบับสุดท้าย บมจ.ปตท. (PTT) ลงนามกับบริษัท สลีค อีวี จำกัด ของสิงคโปร์ เพื่อให้ ปตท. เป็นศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายแบตเตอรี่ให้กับรถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าที่ผลิตในสิงคโปร์ต่อไป
สำหรับประเด็นสำคัญที่ได้หยิบยกมาหารือร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ มี 5 ด้าน ประกอบด้วย
1. ด้านสินค้าเกษตร ได้ขอให้สิงคโปร์ช่วยขึ้นทะเบียนฟาร์มออร์แกนิคที่ผลิตไข่ไก่และไข่นกกระทาของไทย เพื่อให้ไทยส่งไข่ไก่และไข่นกกระทาออร์แกนิคไปสิงคโปร์ได้ จะช่วยเพิ่มสัดส่วนความมั่นคงทางอาหารให้สิงคโปร์ด้วย ซึ่งสิงคโปร์ก็รับไปดูให้ และสำหรับฟาร์มไข่ไก่ทั่วไป สิงคโปร์ขึ้นทะเบียนให้ไทยแล้ว 46 ฟาร์ม ในเรื่องสินค้าเกษตร เช่น การขอให้สิงคโปร์ยืดหยุ่นกฎระเบียบในการตรวจรับรองฟาร์มไข่ไก่ของไทยให้รวดเร็ว โดยไม่ต้องตรวจซ้ำซ้อนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งสิงคโปร์ได้รับไปพิจารณาต่อไป
2. ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยต้องการทำธุรกรรมกับนักธุรกิจสิงคโปร์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ลดการใช้กระดาษ เพื่อความคล่องตัวและสะดวกของทั้ง 2 ประเทศ ทางสิงคโปร์ได้รับว่าจะหารือร่วมกับหน่วยงานของไทยต่อไป และอยากให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ไทยและสิงคโปร์ ร่วมคุ้มครองผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น ซึ่งสิงคโปร์ก็จะไปกำกับดูแลแพลตฟอร์มให้มากขึ้น
3. ด้านการลงทุน ได้เชิญชวนให้นักลงทุนสิงคโปร์ลงทุนใน EEC ในภาคธุรกิจ BCG กับเศรษฐกิจดิจิทัลในไทยมากขึ้น และได้เชิญให้สิงคโปร์ร่วมงาน STYLE Bangkok ที่จะจัดในเดือน มี.ค.66 งาน THAIFEX-ANUGA Asia 2023 เดือนพ.ค. 66 และงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair เดือน ก.ย. 66 ซึ่งสิงคโปร์ก็รับปากจะเชิญชวนนักธุรกิจและผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน
4. ด้านการส่งออกสินค้าไทยไปสิงคโปร์ โดยมูลค่าการค้าระหว่างไทย-สิงคโปร์ 8 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ส.ค. 65) มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 436,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ไทยส่งออกไปสิงคโปร์ได้ 240,000 ล้านบาท ขยายตัว 35% สินค้าส่งออกที่สำคัญ เช่น อัญมณี น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ และอาหาร เช่น ไก่ ไข่ เนื้อสัตว์อื่น และเครื่องดื่ม เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า ทองคำแท่ง เป็นต้น
5. ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งต้องการให้ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาไทยกับสิงคโปร์เป็นไปอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจดทะเบียนสิทธิบัตรของ 2 ประเทศ ให้มีการรับรองผลการตรวจสิทธิบัตรของประเทศใดประเทศหนึ่ง แล้วให้ถือเสมือนผ่านการตรวจสอบอีกประเทศหนึ่งด้วย จะทำให้การจดทะเบียนสิทธิบัตรของ 2 ประเทศรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องตรวจซ้ำซ้อน ซึ่งรัฐมนตรีสิงคโปร์เห็นชอบด้วย
ขณะที่สิงคโปร์ได้หยิบยก 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ประเด็นแรก ทางสิงคโปร์สนับสนุนนักธุรกิจของสิงคโปร์ให้มาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะด้านพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) การให้บริการทั้งคำปรึกษาและด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสมาร์ทซิตี้ของไทย และสนใจแนวทางลดคาร์บอนนำไปสู่การได้คาร์บอนเครดิตของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน ประเด็นที่สอง ความร่วมมือด้านการลงทุนและธุรกิจการท่องเที่ยวเรือสำราญ และสุดท้ายประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจากการหารือเห็นตรงกันในเรื่องการไม่ต้องตรวจการจดทะเบียนสิทธิบัตรซ้ำซ้อน
ทั้งนี้ นำมาซึ่งผลสรุปร่วมกัน 5 ประเด็น ดังนี้
1. ไทยกับสิงคโปร์จะร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค ที่ซื้อขายสินค้าบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยจะเร่งเจรจาแลกเปลี่ยนข้อมูล และกำหนดแนวทางร่วมกันต่อไป
2. สิงคโปร์จะพิจารณาการขึ้นทะเบียนฟาร์มไข่ไก่และไข่นกกระทาออร์แกนิคให้ประเทศไทย โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สิงคโปร์เจรจากับกรมปศุสัตว์ไทยต่อไป
3. สิงคโปร์ยินดีเข้าร่วมงานแฟร์ที่ประเทศไทยจัดขึ้น โดยจะเชิญนักธุรกิจและภาคเอกชนเข้าร่วม
4. สิงคโปร์ยินดีที่จะหารือเรื่องการใช้เอกสารทำธุรกรรมทางธุรกิจผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น
5. การลงทุนและการทำธุรกิจเรือสำราญ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเร่งหารือกับผู้แทนฝ่ายสิงคโปร์ จัดตั้งคณะทำงานร่วมกันขึ้นมา เพื่อส่งเสริมการลงทุนเรื่องท่าเรือ การท่องเที่ยวผ่านเรือสำราญ เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว และการลงทุนของ 2 ประเทศ โดยตลาดเรือสำราญท่องเที่ยวมีตัวเลขสูงทั้งโลกประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ขณะนี้กลุ่มประเทศอาเซียนมีส่วนแบ่งการตลาดแค่ 0.2% ซึ่งยังมีโอกาสพัฒนาอีกมาก