นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนให้เกิดกระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยได้ดำเนินการจ้างเหมาบริการรถเมล์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเดินรถและลดมลภาวะเป็นพิษในเขตเมือง โดยจะขยายไปจากคมนาคมขนส่งทางบก สู่คมนาคมขนส่งทางราง เป็นรถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (EV on Train) ซึ่งขณะนี้ บริษัท ไทยสมายล์บัส อยู่ระหว่างการพัฒนาหัวรถจักรรถไฟ EV ต้นแบบ ให้การรถการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้วโดยมีแผนจะนำออกทดสอบในต้นเดือนพ.ย.65 ซึ่งหากการพัฒนามีประสิทธิภาพและได้รับการรับรองมาตรฐาน จะนำไปต่อยอดใช้กับรถไฟไทยต่อไป เพราะจะช่วยลดต้นทุนจากการใช้พลังงาน
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ในส่วนของแผนจัดหารถจักรล้อเลื่อนของการรถไฟฯนั้น ตนเห็นว่า จำเป็นต้นทบทวนใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีของพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดต้นทุนลง เพราะจะนำไปสู่การกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าบริการ ซึ่งจะให้รอดูผลการทดสอบการพัฒนาหัวรถจักรรถไฟ EV Train ต้นแบบด้วยว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน ประกอบกับ ปัจจุบัน งบประมาณของภาครัฐมีจำกัดแต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่ต้องจัดหาเพราะมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อบริการประชาชนก็ต้องดำเนินการ
"เป็นทิศทางที่ดี ที่ไทยสามารถพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เองโดยผู้ประกอบการไทย ซึ่งบริษัทฯมีการพัฒนาแบตเตอรี่ มีการทดสอบอยู่ในน้ำได้ถึง 30 นาที สามารถทนไฟ 30 นาที และมีต้นทุนผลิตที่ต่ำกว่า รถเมล์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ 1 ชุดมีต้นทุน 2 ล้านบาท"
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟฟ้าระบบขนส่งมวลชนในเมือง ต้องบอกว่ามีการลงทุนสูงมาก ทั้งค่าเวนคืน ค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าระบบอาณัติสัญญาและระบบไฟฟ้า ซึ่งต้นทุนทั้งหมด จะถูกนำมาคำนวณเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่สูงตามไปด้วย ซึ่งในอนาคตหากสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้ เชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนในส่วนของระบบไฟฟ้า ลงไปได้อีกมากแน่นอน
นอกจากนี้ ตนยังเห็นว่า เมื่อหลักคิดในการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามาจากค่าลงทุนและต้นทุนก่อสร้างแล้ว เมื่อสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับบมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ในเครือบมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) สิ้นสุด ปี 2572 ต้นทุนในส่วนของ ค่าลงทุนโครงสร้างจะหมดไป เหลือเพียง ค่าจ้างเดินรถ/บำรุงรักษา (O&M) เท่านั้น ซึ่งจะทำให้สามารถคิดอัตราค่าโดยสารได้ถูกลง จะเก็บ 20 บาท ก็สามารถทำได้ และเป็นการดูแลค่าครองชีพให้ประชาชนในกทม.ได้เป็นอย่างดี